วันจันทร์, สิงหาคม 12, 2562

ความสูญเปล่าทางการศึกษาของ ดร.ขวาจัดบางคนที่เกลียดพรรคอนาคตใหม่ ทำไม PhD เวลาเป็นเรื่องการเมือง กลับใช้วิธีคิดได้ไม่เหมือนกับเป็น PhD





เห็น ดร. ท่านหนึ่งที่เป็นขวาจัด เกลียดอนาคตใหม่ เปรียบเทียบวุฒิการศึกษาและลำดับมหาลัยของตนเองกับธนาธรและปิยบุตร

ผมว่าตรงนี้น่าสนใจมากเลย ในฐานะที่ผมก็เป็น ดร. คนหนึ่ง ก่อนผมเรียนจบเอก ผมก็เคยติดกับดักการมองตัวเองในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน

มันมีสองสิ่งที่ ดร. ท่านนี้พยายามชูขึ้นมา เพื่อบอกว่า ตัวเองเจ๋งกว่าธนาธรและปิยบุตร

1. เรื่องของการได้ทุนการศึกษา โดยมองว่าคนแบบธนาธรที่เป็นลูกคนรวย มีปริญญาหลายใบเพราะมันรวย พ่อแม่มีเงินส่งเรียน สู้ตนเองที่เก่งจริงจนได้ทุนไม่ได้

2. เรื่องของอันดับมหาลัย ตนจบจาก NTU ซึ่งเป็นอันดับ 11 ของโลก ส่วนปิยบุตรถึงจะได้ทุน ก็เป็นมหาลัยอับดับหลักพันของโลก

สรุปจากสองข้อข้างบน ตนจึงเก่งกว่า เพราะตนทั้งได้ทุน และได้มหาลัยอันดับสูงสุด เสมือนตนเป็นส่วนผสมอันสุดยอด ที่ทั้งธนาธรและปิยบุตรไม่มี นี่คือการใช้ตรรกศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์ที่แข็งมากๆ สมกับเป็นสลิ่มไทยที่มักจบสายวิทย์

ดร. ท่านนี้ เลือกที่จะเอาตัวเลขชี้วัดไม่กี่ประการในการวัดคุณภาพคน แทนที่จะมองสิ่งต่างๆอย่างครอบคลุม มองหลายมิติกว่านี้ ซึ่งไม่ค่อยแปลก เพราะคนจบวิทย์ในไทยเป็นอย่างนี้กันเยอะ เราขาดการศึกษาด้านสังคมกันมาก ตั้งแต่มัธยมเราก็เรียนแต่ประวัติศาสตร์โบราณ หลักสูตรกระทรวงศึกษาไม่เน้นประวัติศาสตร์โลกและประวัติศาสตร์ร่วมสมัย

ที่สำคัญ มุมมองของ ดร. ท่านนี้ เป็นมุมมองที่แสดงให้เห็นว่า ชนชั้นนำไทยประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการควบคุมชนชั้นล่าง และชนชั้นกลาง ให้มีวิสัยทัศน์เห็นสิ่งต่างๆอยู่ภายใต้กรอบของสถาบันที่เขาสร้างขึ้นมา ยกตัวอย่างได้จากการที่เขาภูมิใจกับความสำเร็จภายใต้ตัวเลขชี้วัดของสถาบันต่างๆ ไม่สามารถคิดอะไรได้นอกกรอบไปมากกว่านั้น

จริงๆเรื่องที่ธนาธรจบแค่ปอโท มันเถียงไม่ยากเลย
เรื่องการเรียนทุนจนจบเอกให้ได้นั้น เป็นเรื่องความภูมิใจของคนจนและชนชั้นกลางแท้ๆ เป็นเรื่องที่ชนชั้นสูงหลอกให้คนจนเชื่อ และภูมิใจกับมัน

คนชนชั้นปกครองนั้น จริงๆเขาไม่ต้องแคร์เรื่องนี้มากนัก เวลาเขาเรียนอะไร เขาเรียนเพื่อจะเอามาใช้งานได้เลย เพราะเขามีทุนอยู่แล้ว เขาเรียนเพื่อเอามาเพิ่มกำไรในบริษัทของเขา ไม่ใช่เรียนเพื่อมีชื่อว่า ได้ทุน จบมหาลัยดัง หรือจบเอก เขาเรียนกันจบโทในสาขาที่ทำเงิน เขาออกมาเขาก็ชนะพวกคนจนสบายๆอยู่แล้ว

ธนาธรก็เช่นกัน ธนาธรเกิดมารวย เขามีทางเลือกมากมายกับการใช้ชีวิตของเขา เขาจะอ่านหนังสือ จะศึกษาอะไรก็ได้ ไม่เสียเวลา เพราะเขามีทุนที่ทำให้เวลาของเขามันยืดหยุ่นกว่าคนจน ในขณะที่คนจนอย่างเราๆ ต้องเรียนอย่างใดอย่างหนึ่งให้เก่งที่สุด เพื่อให้ได้ทุน ให้เรามีกิน แม้เราจบเอกแล้ว เราจึงรู้ลึกแต่โง่กว้าง ต้องไปเป็นลูกจ้างให้กับชนชั้นนำแบบธนาธรอยู่ดี นี่คือกับดักที่คนจนต้องพบ ยิ่งคนจนที่จบ ดร. แล้วคิดว่าตนเองเก่ง ยิ่งตกหลุมกับดักตรงนี้เข้าไปอีก

ในขณะที่ธนาธร เขาจบมา ไม่ต้องที่หนึ่ง แต่สามารถบินไปเจรจานู่นนี่ ทำเงินเพิ่มหลายหมื่นล้านได้ สามารถเอาเวลาไปอ่านนิยายภาษาอังกฤษโก้หรู สามารถเอาเวลาไปเดินเขาข้ามทวีปได้ วิ่งมาราธอน เล่นการเมือง เขาเลยกว้างมาก เขาไม่จำเป็นต้องเป็นนักเรียนทุนจบเอก เพื่อจะพิสูจน์ตนเองว่าเจ๋ง

ชนชั้นกลางอย่างเราๆ และ ดร. ท่านนี้ จึงเป็นคนโง่อย่างแท้จริง เพราะนอกจากเราฝันหวานอยากจะไปเป็นอย่างชนชั้นสูงแล้ว เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชนชั้นสูงเขาไม่ได้มองโลกแบบเราเลย นั่นคือคนชนชั้นกลางโดนระบบการศึกษากล่อมมาให้โง่ถึงสองขั้น ขั้นแรกคือการไม่รู้จักตนเอง(ไม่รู้ว่าตนเองโดนหลอกอย่างไรบ้าง) ขั้นสองคือการไม่รู้จักผู้อื่น(รู้ไม่ทันว่าคนชนชั้นสูงเขาคิดอะไร)

ทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้สรุปว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างคนยากจนที่ได้ทุนเรียนจนจบเอก กับลูกคนรวยที่ประสบความสำเร็จ ผมแค่วิเคราะห์ให้ฟัง ว่าการเอากรอบความสำเร็จของคนชนชั้นกลาง ไปจับชนชั้นสูงเพื่อให้คนชนชั้นกลางรู้สึกดี มันเป็นความโง่อย่างหนึ่ง ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงว่า คนชนชั้นกลางก็ยังเป็นลูกน้องและเครื่องมือของชนชั้นสูงอยู่ดี


Adil Siripatana