จักรภพ เพ็ญแข กับ ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับอาวุธ (9 ธันวาคม 2560)
มวลชนถามกันมากมายว่า เขาเล่นงานคุณจักรภพทำไม ผมก็ตอบให้ฟังเป็นขัอๆ ดังนี้
1. เขากำลังจะฟัดกันเองในทางการเมือง “เจ้าของเมืองไทย” ตกลงกันแล้วว่ากลุ่มประยุทธ์-ประวิทย์ต้องไป แต่เจ้าตัวยังไม่ยอมไป การปรับคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาไม่ควรมีประวิทย์และนาฬิกาเรือนนั้นอีกแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังคงมีอยู่ เขาจึงสั่งเดินเกมให้กำจัดขั้วที่เข้าสู่อำนาจโดยอุบัติเหตุอยู่ในขณะนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมจึงไม่แตกต่างอะไรจาก ส. ศิวรักษ์ ที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระนเรศวรฯ เพราะล้วนเป็นกโลบายหรือกลอุบายทางการเมืองทั้งนั้น
2. เขารู้ว่า ผมมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย การกุเรื่องขึ้นมาเล่นรังแกผมในคราวนี้ จึงไม่ใช่มีเป้าหมายแค่ตัวผม ซึ่งไม่ได้มีความสำคัญอะไร คนที่ต้องเตรียมตัวไม่ให้เกิดสภาวะตกกระไดพลอยโจน ก็คือตัวท่านนายกทักษิณเอง ที่เขาโอบล้อมครอบครัวของท่านเข้ามาทุกขณะ เพื่อเอาครอบครัวชินวัตรมาเป็นข้ออ้างและเป็นเหยื่อ ในขณะที่เขาจะเข่นฆ่ากันเอง
3. เกมใหญ่ตอนนี้ เขาเรียกว่า การกระชับอำนาจ ภาษาอังกฤษคงเรียกได้ว่า power consolidation ในระยะนี้ ขั้วใหญ่สองขั้วยังร่วมมือกันดีอยู่ แต่แอบมองพฤติกรรมของกันและกันไปด้วย ความเตรียมพร้อมของแต่ละฝ่ายนั้น คนรู้จริงคนหนึ่งท่านใช้คำว่า “เขาขัดปืนกันแล้ว”
4. ในส่วนตัวผม ฝ่ายเขารู้ว่า เดินงานต่างประเทศได้ และได้ทำมามาก เขาต้องการให้ผมทำงานยากขึ้น ข้อกล่าวหาในเรื่อง 112 ก็ไร้น้ำยาโดยสิ้นเชิงในระดับระหว่างประเทศ ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครเอาตาแล ที่สำคัญคือไม่มีประเทศไหนจับผู้ถูกกล่าวหาส่งให้เลยแม้แต่รายเดียว ในรอบไม่รู้กี่ปีที่ผ่านมา เขาจึงหาเรื่องมาเพิ่มให้ผมอีก คราวนี้เป็นเรื่องอาวุธ โดยหวังไว้ว่าความระแวงผู้ก่อการร้ายสากลอาจจะทำให้บางประเทศเกิดกลัวขึ้นมาบ้าง ก็ขอรายงานไว้เสียที่นี่ว่า คงจะมุกแป้กอีกแล้วล่ะครับพระคุณท่าน
5. เพื่อนบ้านที่ตกเป็นเหยื่อสงครามน้ำลายของระบอบเผด็จการไทยเสมอก็คือ ราชอาณาจักรกัมพูชา แต่งเรื่องทีก็ลากเขาไปเกี่ยวโยงทุกทีไป ขณะนี้ก็บังคับให้เขารับรองคณะผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ที่ไปพร้อมกับลูกน้องมือฉกาจอีก 4 คน รวมทั้งผู้ชำนาญเรื่องตำรวจสากล หรือ Interpol เขาก็รับรองตามมารยาท แต่ในใจก็นึกรำคาญเกมกลของคนไทยเต็มที นี่เราอยู่ในยุคสมัยของการสร้างความจำเริญในทางเศรษฐกิจ ก็ยังมาเล่นเอาเถิดกันอยู่ในเมืองไทย จนเพื่อนบ้านเขาเหนื่อยหน่ายไปตามๆ กัน
สุดท้ายขอให้การศึกษากับ คุณจักรทิพย์ ชัยจินดา หัวหน้าตำรวจไทย สักหน่อย ได้ยินว่าท่านพูดถึงผมว่า มีแนวคิดรุนแรง หวังก่อความไม่สงบอยู่เสมอ คุณจักรทิพย์ก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ต้องรู้ว่า แนวคิดรุนแรง กับ การกระทำที่รุนแรง เป็นของคนละอย่างกัน จริงทีเดียวครับ ผมอยากเปลี่ยนแปลงเมืองไทย ให้เมืองไทยของเรายกระดับขึ้นเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค อยากเห็นคนยากคนจนของเมืองไทยยกระดับขึ้นเป็นชนชั้นกลาง และเอาคนรวยยกขึ้นเป็นผู้เล่นระดับโลก และอยากปรับโครงสร้างการเมืองไทยให้คลายความฉ้อฉล ทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดที่รุนแรงทั้งนั้น ผมจะเอาจริงทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีการรุนแรงอย่างที่คุณจักรทิพย์พูดมา
อยากเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยกับเขาสักครั้ง ก็หาวิธีไต่ตำแหน่งแบบอื่นที่มันบาปกรรมน้อยกว่านี้ดีกว่าครับ.