วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 14, 2560
“ผมเป็นแค่คนที่ถูกกล่าวหา แต่ถูกปฏิบัติราวกับนักโทษ”: เสียงจากจำเลยคดี 112 แอบอ้างพระเทพฯ หลังการสืบพยานยังไม่เริ่ม
“ผมเป็นแค่คนที่ถูกกล่าวหา แต่ถูกปฏิบัติราวกับนักโทษ”: เสียงจากจำเลยคดี 112 แอบอ้างพระเทพฯ หลังการสืบพยานยังไม่เริ่ม
27/01/2017
By TLHR
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
26 ม.ค.60 ศาลจังหวัดกำแพงเพชรนัดพิจารณาในคดีของนางอัษฎาภรณ์ และนายนพฤทธิ์ (สงวนนามสกุล) ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และข้อหาร่วมกันปลอมเอกสารราชการ จากกรณีการแอบอ้างสมเด็จพระเทพฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเรียกผลประโยชน์ โดยในนัดนี้ศาลให้รวมการพิจารณาคดีเข้ากับคดีข้อหาฉ้อโกงประชาชนที่ฟ้องเข้ามาใหม่ตามคำร้องของอัยการโจทก์ และยังไม่วินิจฉัยว่าเป็นการฟ้องซ้อนหรือไม่ ขณะที่หนึ่งในจำเลยยืนยันต่อสู้คดี และเรียกร้องสิทธิในการประกันตัว
ก่อนหน้านี้ คดีที่จำเลยทั้งสองถูกฟ้องตามข้อหามาตรา 112 และข้อหาร่วมกันปลอมเอกสารราชการ มีการนัดหมายเริ่มสืบพยานตั้งแต่ในช่วงเดือนพ.ย.59 แต่อัยการโจทก์ได้มีการยื่นฟ้องคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชนเป็นคดีใหม่ต่อศาลเข้ามาก่อนหน้าการสืบพยาน โดยระบุว่าในชั้นสอบสวนได้มีการแจ้งข้อหานี้ต่อผู้ต้องหาแล้ว แต่การทำสำนวนในข้อหาดังกล่าวยังไม่เสร็จสิ้น เมื่อได้มีการสอบพยานชาวบ้านเพิ่มเติมอีกหลายปาก และได้พยานหลักฐานเพียงพอ จึงได้มีการสั่งฟ้องคดีใหม่ในข้อหานี้เข้ามา อัยการยังได้ขอให้ศาลรวมการพิจารณาเข้าด้วยกันกับคดีเดิม ทำให้การนัดสืบพยานของสองจำเลยที่ต่อสู้คดี ต้องเลื่อนออกไป (ดูรายงานข่าวการพิจารณาก่อนหน้านี้)
ต่อมา วันที่ 23 ม.ค.60 ศาลได้นัดถามคำให้การในคดีข้อหาฉ้อโกงประชาชน จำเลยทั้งสองคนให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา และทนายความของจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้นว่าคำฟ้องในคดีนี้ เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีมาตรา 112 ขณะที่จำเลยที่ 2 ก็ได้ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้นว่าคำฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องซ้อนหรือไม่ ส่วนอัยการโจทก์ก็ได้ยื่นคำร้องขอรวมคดีนี้กับคดีมาตรา 112 โดยที่ศาลที่นั่งบัลลังก์ให้รอพิจารณาคำร้องต่างๆ ในนัดวันนี้
ในนัดนี้ ศาลได้สอบถามฝ่ายจำเลยทั้งสองคนเรื่องการรวมการพิจารณาคดี จำเลยทั้งสองคนไม่คัดค้าน ศาลจึงวินิจฉัยให้รวมการพิจารณาคดีทั้งสองเข้าด้วยกัน เนื่องจากเห็นว่าคดีเกี่ยวข้องและมีมูลคดีเดียวกัน คู่ความเดียวกัน และพยานหลักฐานชุดเดียวกัน ในส่วนคำร้องขอวินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้นของฝ่ายจำเลยทั้งสองคน เรื่องการฟ้องซ้ำและฟ้องซ้อน ศาลเห็นว่าคดีทั้งสอง ยังไม่มีการสืบพยานและพิพากษาคดี จึงให้รอฟังการสืบพยานให้เสร็จสิ้นก่อน โดยศาลจะสั่งในคำพิพากษา
ขณะเดียวกัน อัยการยังแถลงว่าด้วยเหตุที่ญาติของจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด เพื่อให้มีคำสั่งถอนฟ้องข้อหาตามมาตรา 112 โจทก์จึงได้รับการประสานให้ส่งสำนวนคดีไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดผ่านสำนักงานอัยการภาค 6 จึงยังไม่พร้อมที่จะให้มีการตรวจพยานหลักฐานในขณะนี้ ทำให้ฝ่ายจำเลยทั้งสองแถลงขอให้โจทก์ขอสำเนาเอกสารกลับคืนมา เพื่อจะใช้ตรวจพยานหลักฐานและสืบพยานต่อไป ขณะที่เรื่องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดก็ให้ดำเนินการไปตามขั้นตอน ศาลจึงให้อัยการโจทก์เร่งติดตามสำนวนคดีมา และกำหนดวันนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 24 ก.พ.60 โดยให้ยกเลิกวันสืบพยานที่กำหนดไว้เดิม
ทั้งนี้ กรณีการ “ฟ้องซ้อน” หมายถึงกรณีซึ่งคดีเกี่ยวกับมูลคดีเดียวกันและได้ยื่นฟ้องต่อศาลไว้แล้ว แต่กลับยังมีคู่ความอีกฝ่ายนำมาฟ้องคดีอีก โดยตามหลักกฎหมายนั้นบุคคลจะไม่ถูกพิจารณาคดีซ้ำสองในความผิดเดียว ส่วนการ “ฟ้องซ้ำ” หมายถึงกรณีซึ่งคดีเรื่องหนึ่ง ที่ศาลได้มีคำสั่งทางคดีไปแล้ว แต่ยังมีคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นำคดีเดิมมายื่นฟ้องซ้ำอีก
หนึ่งในจำเลยร้องสิทธิการประกันตัว ยันต่อสู้คดียืนยันความบริสุทธิ์
ภายหลังการพิจารณาคดีในนัดนี้ นายนพฤทธิ์เปิดเผยว่าเขายังยืนยันที่จะต่อสู้คดีต่อไป เพราะว่าไม่ได้กระทำความผิด และไม่ได้ทราบเรื่องใดๆ ตามที่ถูกกล่าวหา แต่การต่อสู้คดีแบบนี้ ถ้าได้ประกันตัวออกมาก็คงจะดีกว่า เพราะการถูกคุมขังอยู่ข้างในเรือนจำ ทำให้ตนทำอะไรไม่ได้ ไม่สามารถออกไปรวบรวมพยานหลักฐาน หรือทำงานช่วยเหลือครอบครัว ทั้งเวลาในการพิจารณาคดีก็เนิ่นนานออกไปทุกวัน ยังไม่ได้เริ่มสืบพยาน ทั้งที่ตนถูกคุมขังมา 1 ปี 5 เดือนแล้ว
“ผมเองก็ยังเป็นแค่คนที่ถูกกล่าวหา แต่กลับถูกปฏิบัติราวกับเป็นนักโทษ เหมือนผมถูกพิจารณาตัดสินไปแล้ว ทั้งที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินเลย แต่เรากลับถูกคุมขังไว้ เวลาก็ผ่านไปทุกวัน สิ่งที่เราคิดไว้ แผนการในชีวิตต่างๆ ที่เคยวางไว้ อายุเท่าไรจะทำอะไร ที่เคยมองเห็น มันก็หายไป มองไม่เห็นแล้ว” นายนพฤทธิ์กล่าว
สำหรับเหตุในกรณีนี้ นางอัษฎาภรณ์ นายนพฤทธิ์ พร้อมกับนายวิเศษและนายกิตติภพ ที่รับสารภาพข้อกล่าวหาทั้งหมดไปก่อนหน้านี้ ถูกกล่าวหาว่าได้ร่วมกันปลอมเอกสารหนังสือราชการของสำนักราชเลขานุการ กองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และได้นำไปอ้างแสดงต่อเจ้าอาวาสวัดไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร พร้อมกับผู้เสียหายอีกหลายคน และยังมีการกล่าวอ้างว่าสามารถที่จะทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มาร่วมในพิธีของวัดได้ โดยมีการกล่าวอ้างแสดงตนว่าเป็นหม่อมหลวง พร้อมเรียกเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ จากผู้เสียหาย ต่อมา ทางเจ้าอาวาสวัดไทรงามได้ให้ตัวแทนเข้าแจ้งความดำเนินคดี ก่อนจำเลยทั้งสี่ได้ทยอยถูกจับกุมตัวในช่วงเดือนส.ค.58
ในคดีนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้เข้าให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายกับนายนพฤทธิ์ ปัจจุบัน อายุ 29 ปี เป็นคนจังหวัดอุบลราชธานี และเคยทำงานเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เขาถูกจับกุมเมื่อวันที่ 21 ส.ค.58 และไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างต่อสู้คดี โดยญาติเคยยื่นขอประกันตัวต่อศาลแล้ว 5 ครั้ง แต่ศาลไม่อนุญาต นพฤทธิ์ยืนยันว่าเขาเพียงแต่ถูกรุ่นพี่ชวนไปร่วมทำบุญ โดยรุ่นพี่อ้างว่าให้เป็นเจ้าภาพร่วมกัน ในช่วงเดือนเม.ย.58 โดยไม่ได้ทราบเรื่องการแอบอ้างสมเด็จพระเทพฯ ไม่ทราบเรื่องการปลอมแปลงเอกสาร และไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ ในกรณีนี้
อ่านเรื่องราวของนพฤทธิ์ได้ในรายงาน “ผมเพียงแต่ถูกชวนไปทำบุญ”: เรื่องราวของ ‘นพฤทธิ์’ จำเลยมาตรา 112 คดีแอบอ้างสมเด็จพระเทพฯ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ยังไม่เริ่มสืบพยานคดี 112 แอบอ้างพระเทพฯ – ด้านญาติหนึ่งในจำเลยยื่นขอความเป็นธรรมอัยการสูงสุด
เลื่อนสืบพยานคดี 112 แอบอ้างพระเทพฯ เหตุอัยการฟ้องคดีข้อหาฉ้อโกงประชาชนเพิ่มอีก
ศาลพิพากษาสองจำเลยคดี 112 แอบอ้างสมเด็จพระเทพฯ จำคุก 7 ปี 4 เดือน