วันอังคาร, ธันวาคม 19, 2560

คสช. ชักจะเป็นวัวพันหลัก ผูกเงื่อนมัดตัวเอง ไหนจะพรรคอุ้มสม "เห็นธรรม" แล้วยังพวก 'นั่งร้าน' ตัดพ้อ

โหมดเลือกตั้งยังเป็นไปได้ ถ้าจะยึดเอารองนายกฯ ฝ่ายกฎหมายเป็นสรณะ เมื่อนายวิษณุ เครืองาม นั่งยัน

“ไม่คิดว่าจะมีผลต่อโร้ดแม็พใดๆ ทั้งสิ้น” ถ้าจะต้องแก้ไข พรป. พรรคการเมือง “เพื่อขยายกรอบเวลาในการดำเนินการเรื่องต่างๆ”

แต่...ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับ คสช. จะเอาไง “ซึ่งทำได้ ๒ วิธี คือแก้ไขตามปกติและแก้ไขด้วยการใช้คำสั่งมาตรา ๔๔” 

อ้าว วันก่อนว่าใช้ ม.๔๔ ไม่ได้ วันนี้ได้แล้ว กฎหมาย คสช. นี่เปลี่ยนสีเปลี่ยนทรง พลิกคว่ำพลิกหงาย ตีลังกาได้ทั้งนั้น

ถึงอย่างไร “แม้จะแก้ไขกฎหมายเพื่อขยายเวลา แต่ถ้าไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง ก็ไม่มีความหมายใช่หรือไม่” นักข่าวถามทั่นรองฯ ก็ได้คำตอบว่า “แน่นอนที่สุด”

แม้นว่า “ทั้งนี้ได้ทราบว่าใน คสช. ได้มีการพูดถึงเหตุผลที่ยังไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง แต่จะพูดกันอย่างไรก็ไม่ทราบ เพราะไม่ได้อยู่ในวงประชุม” นี่ไม่รู้ทั่นไขสือ หรือทำซึมลึก

แม้กระทั่งเรื่องแก้กฎหมายยืดเวลาเตรียมการของพรรคการเมือง ทั่นก็ยังบอกด้วย “ทราบว่าผู้ที่เกี่ยวข้องบางส่วนเช่น คสช.กำลังพูดคุยกันอยู่ แต่ยังไม่มาถึงชั้นที่รัฐบาลต้องพิจารณา” ซะอีก


ทำไปทำมาเหมือนว่า คสช. ชักจะเป็นวัวพันหลัก ผูกเงื่อนมัดตัวเองด้วยความ “รู้มากยากนาน” ให้ปู่มีชัยออกแบบ พรป.ห่อตีนพรรคการเมืองไม่ให้โต ระเบียบใหม่ยุบยับ ทั้งบัญชีสมาชิกพรรค เงินทุน และสัดส่วนคะแนน ทำให้พรรคใหญ่ไม่โตก็จริง แต่พรรคเล็กก็จะไม่เกิด

เลยเป็นปัญหากับพรรคทหาร พวกลิ่วล้อพากันร้องแรกแหกกระเฌอจะให้ คสช.เซ็ทซีโร่พรรคเก่าๆ เสียก่อน ตัวเองจะได้แจ้งเกิด ก็เลยเดือดร้อนพรรคเก่าจริงๆ ดูท่าเปลี่ยนใจไม่รอทหารอุ้มสมเสียแล้ว เรียงหน้าเป็นระลอกออกมาซัดทั้ง คสช.และลิ่วล้อกันสลอน นับแต่ประธานที่ปรึกษาฯ ร่อนจดหมายเล่นเอง ตามด้วยมือวางของนายหัวแฉแหลก มาถึงตอนนี้ เด็กสร้างเอาบ้าง

“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้สัมภาษณ์กรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. เสนอแก้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๖๐” เพื่อที่จะให้ ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง ซึ่งจะต้องเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญวุ่นวาย

นายอภิสิทธิ์ขอสับแหลกด้วยคนว่า พวกที่เสนอให้แก้กฎหมายนี้ “เคยสนับสนุนผู้มีอำนาจมาโดยตลอด ผมเชื่อว่าวันนั้นท่านสนับสนุนแต่วันนี้ท่านบอกว่ามีปัญหา ผมขอถามว่ามีอะไรเปลี่ยนไประหว่างวันนั้นกับวันนี้”

หัวหน้าพรรค คนดี ที่เป็นนั่งร้านให้ทหารเข้ามาครองเมืองเกือบสี่ปี คงจะดวงตาเห็นธรรมแล้วว่า ตาอยู่มากินพุงปลาคนเดียว “หากมีการแก้ไขกฎหมายในชั้น สนช.เวลาการเลือกตั้งก็อาจจะยืดออกไป” และ

“คสช.และรัฐบาลเป็นผู้เขียนกฎกติกาด้วยตนเองทั้งนั้น แต่ทำไมตอนนี้ท่านไม่สามารถทำให้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นไปตามที่พูดไว้ได้...

แต่ปัญหาตอนนี้คือ ท่านอยากแก้กฎหมายหรืออยากจะยืดการเลือกตั้ง หรืออยากจะยุบพรรคการเมืองเก่า ขอให้พูดออกมาอย่างชัดเจนเลยดีกว่า”


ถึงไม่พูดก็รู้กันอยู่ว่ามันเป็นอย่างนั้น ปัญหาจริงๆ อยู่ที่พวกทั่นนั่นแหละหวังจะได้เศษได้เลย ช่วยชักสึกเข้าบ้านเป็นนั่งร้านเรียกเผด็จการให้มาครองเมืองแล้วถูกเขาเขี่ยทิ้ง ผูกปมพันธนาการพรรคการเมืองถ้วนหน้าไม่เว้นเหลืองหรือแดง เพราะเขามีประดานายทุนใหญ่ไว้โอบอุ้มให้อิ่มหมีพีมันกันแล้ว

แบบเดียวกับพวก พธม. นักปฏิรูปก่อนเลือกตั้งบางคนเริ่มสำนึก นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์โพสต์ทูเดย์ ยอมรับแล้วว่า “รัฐบาลทหารเป็นกลุ่มทุนหนึ่ง ขณะที่กลุ่มทุนรัฐบาลทักษิณก็เป็นอีกกลุ่มทุนหนึ่ง...
 
ความเหมือนกัน คือ กลุ่มทุนยังมีอิทธิพลต่อรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลทักษิณ หรือรัฐบาลทหารแต่ที่ชัดเจนในรัฐบาลทหาร คือ ข้าราชการมีบทบาท มีอิทธิพลมากขึ้น...

ประชาชนมีส่วนร่วมน้อยลงทั้งสองรัฐบาล ดูเหมือนว่านโยบายไปให้ประชาชนมาก แต่การมีส่วนร่วมน้อยลงเหมือนเดิม รวมไปถึงการกระจายอำนาจไม่ชัดเจนทั้งสองรัฐบาล”

พิภพอ้างว่าผลงานของพันธมิตรฯ และ กปปส. ก็คือ “ทำให้ประชาชนตื่นตัวขึ้น แต่การตื่นตัวยังไม่สามารถไปกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงประเทศได้ เพราะอำนาจอยู่ในมือของทหาร อยู่ในมือของพรรคการเมือง อยู่ในมือของกลุ่มทุน...

วันนี้ความหวังต่อทหาร ที่จะให้ทหารนำการเปลี่ยนแปลงประเทศ ก็ไม่มี...ตอนนี้พลังเปลี่ยนแปลงประชาชนสิ้นหวัง จะฝากไว้กับทหารก็ไม่ใช่ ฝากไว้ที่พรรคการเมืองก็ไม่ใช่ ฝากกับกลุ่มทุนก็เห็นชัดเจนว่าได้แต่กอบโกย”


ปุดโถ พวกนักปฏิรูปที่เผาบ้านไล่หนู โอดครวญไม่รู้จะดับไฟอย่างไร รังหนูไหม้เกรียมไปแล้วกำลังลามมาถึงห้องนอนตัวเอง ได้แต่วอนพวกเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ ที่ดูเหมือนจะนกหวีดติดคอกันไปหมด

ให้ “ทำจากเล็กไปหาใหญ่...โดยใช้อำนาจโซเชียลมีเดียให้เกิดพลังมากขึ้นในการนำเสนอข้อเท็จจริงและทางออกของประเทศไทย”

ข้อเท็จจริงนั่นก็อยู่ไม่ไกล บนหัวและในอกพวกทั่นนั่นละ ตอนนั้น “ทำใหญ่ไปหาเล็ก” ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม เพาะเชื้อไวรัสเผด็จการจนเกาะกินทั่วร่าง อ่วมไปแทบทั้งหมดมวลมหาประชาชนแล้วไร

ทางออกประเทศไทยน่ะมีอยู่ แต่ทางเข้า (ของความเจริญทางประชาธิปไตย) นี่สิ พวกทั่นปิดมันเสียเกือบหมด เมื่อตอนชุมนุมใหญ่ไล่หนูมิใช่หรือ