“คิวต่อไปเชือด ‘วัฒนา’ คสช.ส่งซิกปิดเกม” ข่าวเดลินิวส์ที่ ‘แนวหน้า’ รีบคว้ามาเล่น เป็นปกติของกระบวนการห้ำหั่น
กำจัดให้สิ้นซาก ‘ระบอบทักษิณ’
นั่นรวมถึงการ “สนองนโยบายเร่งด่วน! ชี้คดี
'พานทองแท้' ฟอกเงินเป็นเรื่องสำคัญ”
ดังอธิบดี ดีเอสไอ พ.ต.อ.ไพสิฐ
วงศ์เมือง แจ้งข่าวเมื่อวันก่อน
คดีนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.
พัฒนาสังคมฯ สมัยรัฐบาลทักษิณ นั้น “ป.ป.ช. ได้ส่งสำนวนการไต่สวนไปให้สำนักงานอัยการสูงสุด
(อสส.) แล้ว แต่ อสส.เห็นว่ามีข้อไม่สมบูรณ์ตามข้อกฎหมาย
จึงมีมติให้ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง ป.ป.ช. กับ อสส. เพื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ก่อนส่งฟ้องศาลต่อไป”
อย่างไรก็ตามหากหาข้อยุติไม่ได้ “ป.ป.ช.สามารถนำสำนวนมาส่งฟ้องต่อศาลด้วยตนเองได้
ซึ่ง ป.ป.ช.เองก็รออยู่” เลยทำให้นายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด “คงต้องเร่งรัดกระบวนการพิจารณาให้รวดเร็วขึ้น
เพราะคดีนี้ไม่เพียงเป็นที่สนใจของสาธารณชนเท่านั้น
แต่อยู่ในความสนใจของรัฐบาล และ คสช.อีกด้วย” เดลินิวส์เขียนข่าวยัดปาก อสส. ให้ ‘ก้นร้อน’ ซะงั้น
ด้านอธิบดี ‘ดีเอสไอ’
รีบออกตัวเรื่องรื้อคดี ‘พานทองแท้’ ฟอกเงิน ๑ ล้านว่า “ดำเนินการทุกคดีไปตามพยานหลักฐาน ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร”
แต่ว่าผู้ถูกกล่าวหา “โต้แย้งว่าตัวเองไม่มีความผิด
และร้องขอให้สอบพยานเพิ่มในหลายปากอย่างรอบคอบ”
นั้น “เป็นแฟ้มขนาดใหญ่จึงต้องเชิญประชุมพนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบรายละเอียด”
แต่ก็มีไฟลนก้นมา ในเมื่อ “พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.ยุติธรรม
ได้กำชับให้เร่งรัดดำเนินการ”
หากแต่ว่า ทนายความของนายพานทองแท้ ชินวัตร
ผู้ถูกกล่าวหา ได้ไปยื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ
พร้อมทั้งชี้แจงต่อสื่อมวลชนในข้อเท็จจริงของคดี ว่าเป็นคดีเก่ากว่าสิบปี ซึ่ง
คตส. ผู้เป็นคณะกรรมการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการฟอกเงินได้มีมติไม่ส่งฟ้องไปแล้ว
ถึงกระนั้นก็ดีเมื่อมีการรื้อคดีมาสอบสวนซ้ำใหม่
“โดยนายพานทองแท้ได้เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาเมื่อวันที่
๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ และได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาแล้วนั้น”
ปรากฏมีแหล่งข่าวของดีเอสไอระบุว่าผู้ถูกกล่าวหาขอยืดระยะเวลายื่นคำให้การไปอีก ๖๐
วัน ไม่เป็นความจริง
“การให้ข่าวที่ไม่เป็นความจริงของแหล่งข่าวในหน่วยงานทำให้ประชาชนเข้าใจผิดหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกกล่าวหาได้
จึงเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องตระหนักอย่างยิ่งเท่าๆ
กับการบังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรม”
นั่นเป็นส่วนของฝ่ายการเมืองที่
คสช. ห้ำหั่นอย่างสุนัขจิ้งจอก หาเหตุความผิดต่อไปเรื่อยๆ ให้ถึงจุดที่จะขย้ำคอได้โดยไม่เขิน
แต่กับประชาชนที่เห็นว่าการ
‘เข้ามา’
ด้วยอำนาจบาตรใหญ่ของ คสช. ตลอดสามปีกว่า รังแต่จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่
และสภาพจิตใจเสื่อมทรามลงไปทุกวัน จึงออกมาแสดงความเห็นคัดค้าน-ต่อต้านคณะรัฐประหารกันมากขึ้น
คสช.
ก็ยังไม่ลดละปฏิบัติการบีบคั้น กดดัน และรังควาญเยี่ยงหมาไน ‘ไฮยีน่า’ โดยไม่ละอายใจแก่ตนแม้แต่สักนิด ดังเช่นที่ทำกับการจัดงานคอนเสิร์ต ‘หมอลำง่วนคัก’ เพื่อระดมทุนทำกิจกรรมฟื้นฟูสภาพจิตใจและศักยภาพของอดีตนักโทษการเมือง
จนต้องยกเลิกไป
“อุบาทว์แท้ ไม่ห้ามจัด แต่ยกฝูงไปกดดันเจ้าของร้าน
ทั้งปลัดอำเภอ กำนัน นายก อบต.(คงหวังเลือกตั้งท้องถิ่นมั้ง) ตำรวจ ทหาร กอ.รมน.
อ้างเป็นนักโทษการเมือง อ้างคำสั่งเบื้องบน อ้างกระทั่งลิขสิทธิ์” อธึกกิต แสวงสุข
ขึ้นเสียงไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
หนึ่งวันก่อนถึงกำหนดงาน
๑๖ ธันวา เวลา ๑ ทุ่ม ซึ่งจะมี ปฏิภาณ ลือชา หรือแบ๊งค์เป็นนักร้องนำ
เสริมด้วยจ่านิว สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ และทนายน้อย อานนท์ นำภา ตั้งแต่บ่ายมีทั้งทหาร
ปลัดอำเภอ กำนัน ตำรวจ อบต. และ กอ.รมน. เวียนกันไปยังสถานที่จัดงาน บางบัวทอง สั่งทางร้านไม่ให้จัด
อ้างว่าทั้งสามคนเคยโดนคดีการเมือง
มีจุดประสงค์ช่วยเหลือคนที่เกี่ยวข้องการเมือง “จึงมีคำสั่งจากเบื้องบนไม่ให้มีการจัดงานดังกล่าวได้”
ผู้จัดเลยต้องประกาศยกเลิก แต่ก็ไปจัดและเปิดรับการบริจาคทางเฟชบุ๊คไล้ฟ์แทน
สำหรับหนึ่งในสามผู้แสดงที่ไม่ได้ง่วนคักเมื่อคืน
อานนท์ นำภา ถูก คสช.จัดหนักไปก่อนหน้านี้แล้ว โดนหมายเรียกไปรับข้อกล่าวหาสองกระทง
คือ ดูหมิ่นศาล และกระทำผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ จากการโพสต์ข้อความบนเฟชบุ๊ค
ที่เจ้าตัวบอกกับ
จอม เพชรประดับ ว่าเป็นโพสต์ที่เขาแชร์บทความประชาไท เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน
พร้อมคอมเม้นต์สั้นๆ “ศาลเอาอำนาจอะไรไปสั่งใครห้ามคบกับใคร ตลกจริงๆ”
“คนที่กล่าวหาเป็นคนเดียวกับที่กล่าวหา
วัฒนา เมืองสุข จึงเห็นได้ว่านี่เป็นเรื่องการเมือง” อานนท์บอกจอม
“เราต้องยืนยันเรื่องเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต
หนึ่ง-ถ้อยคำของผมมันไม่ใช่เป็นการกล่าวหา
มันเป็นการตั้งคำถามต่อกระบวนการยุติธรรม สอง-การจะไปคาดคั้นว่าการวิพากษ์วิจารณ์ศาลจะต้องเป็นไปโดยทางวิชาการเท่านั้น
ผมก็ไม่เห็นด้วย
ชาวบ้านร้านช่องที่เห็นว่าคำพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งไม่น่าจะถูกต้อง
เขาก็มีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์แบบของเขา อย่างเห็นชาวบ้านหลายคนถึงขนาดด่าศาลอย่างนี้
มันก็เป็นการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนึ่ง ถ้าจะพูดกันจริงๆ แล้ว
ถ้ามันไม่ถูกต้องศาลก็มีสิทธิออกมาชี้แจง
ถ้าชาวบ้านหรือผมนี่ไปกล่าวหาว่าศาลไปรับสินบาตรคาดสินบน
อันนี้มันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่การไปตั้งคำถามต่อคำพิพากษาว่ามันชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นี่
มันต้องทำได้
ไม่งั้นมันก็จะกลายเป็นการสถาปนาอำนาจตุลาการขึ้นมาเป็นอำนาจพิเศษ
ซึ่งปราศจากการตรวจสอบ ปราศจากการวิพากษ์วิจารณ์ ติชมไม่ได้ทั้งปวง
ก็จะกลายเป็นองค์กรที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญไป...
เป็นห่วงเพียงว่า
บรรยากาศการสร้างภาวะความกลัวให้กับประชาชน อันนี้จะเป็นปัญหา เพราะว่าหลายคน เอ๊ย
ทนายโดนทำไมคุณจะไม่โดน
พูดตรงๆ เราเป็นคนที่มีที่อยู่ที่เป็นสามารถพูดได้ เราก็ต้องช่วยกันในการวิพากษ์วิจารณ์
และยืนหยัดอันนี้ต่อไป”
ใช่แล้ว หวานเป็นลม
ขมเป็นยา เอายากวาดแสงหมึกป้ายในคอ คสช. จะได้หายโรคอีสุกอีใสเสียที