‘หน้ามุ่ยเพราะกองหนุนหมด’ วันนี้ขอเอาเรื่องเกิดที่บ้านบิ๊กป้อมมาต่อติดกับเหตุการณ์ที่บ้านป๋าเปรม
หน่อยเหอะ
วาสนา (Nanuam)
เขียนเล่า “บิ๊กตู่ยืนเท้าแขนข้างขวาที่ผนังห้องพร้อมพักขาไขว้กัน แสดงสีหน้า ‘บ่ จอย’ เมื่อเห็นประตูห้องรับรองยังเปิดอยู่ แล้วทำให้นักข่าวที่รอกันอยู่ในบ้าน
ร.1 รอ. ของบิ๊กป้อม เห็นภายในห้อง ที่ ๓ ป. ‘ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์’ อยู่ด้วยกัน”
อะไรมันจะฉุนง่ายจัง
เพิ่งสัญญากับป๋าอยู่หลัดๆ “สิ่งที่ผมสัญญากัลป๋าไว้ผมจะทำให้ได้ และจะไม่โมโห
ยิ้มอย่างเดียว ประชาชนอยากให้ผมยิ้มเยอะๆ แม้ว่าใครจะทำให้ผมหงุดหงิดก็ตาม”
น่าจะเป็นเพราะป๋าบอกว่า “ตู่ใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว
แทบจะไม่มีกองหนุนเหลืออยู่แล้ว” หรือเปล่า
นั่นจากตอนที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ยกโขยงคณะรัฐมนตรีไปอวยพรปีใหม่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ป๋าอวยพรกลับ “ขอให้ดำรงความมุ่งหมายเพื่อเติมกองหนุนมากขึ้นให้ได้
ผมเชื่อว่าตู่ทำได้ พวกเราทุกคนก็ทำได้ และกำลังทำกันอยู่”
ถึงได้เห็นภาพบิ๊กตู่ในเครื่องแต่งกายลำลองลงพื้นที่นครปฐม
นำคณะ ๓ ก๊วนแค่มาเล่นกอล์ฟเฉยๆ ที่สนามนิกันติ ของตระกูลสะสมทรัพย์ ซึ่งนายเผดิมชัย
อดีต รมว.แรงงานของพรรคเพื่อไทยต้องรีบออกมาแก้ต่าง “ท่านไม่พูดการเมืองสักแอะเลย”
ทั้งนี้หลังจากที่นายวัฒนา เมืองสุข อดีต
รมว. พาณิชย์สมัยพรรคไทยรักไทย เอาภาพไปโพสต์ประกอบบทความ อ้างถึงว่า “มีการเดินสายพบปะนักการเมืองที่มีแนวทางสนับสนุนตน”
จนทำให้นายเผดิมชัยต้องแก้ปมว่า
สนามของตนได้รับรางวัลดีเด่นแห่งเอเซียแปซิฟิค “ต้อนรับกระทั่งพระราชินีจากมาเลย์
เราก็เหมือนร้านอาหาร เซเลบริตี้มาก็อยากถ่าย...เพื่อเป็นเกียรติว่าผู้ใหญ่ให้เกียรติมาเล่น
เป็นเรื่องปกติมาก”
ส่วนใครจะคิดอย่างไร “เราเป็นนักการเมือง ลูกน้องก็มีออฟไซด์หรือไม่ออฟไซด์
เราก็ไม่รู้ ไม่ใช่ประเด็นใหญ่”
แน่นอน
สำหรับนักการเมืองที่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่ประเด็นใหญ่ มิน่าเล่า ผลสำรวจเกี่ยวกับความเสื่อมทรามในความตระหนักรู้
โดยองค์กรอิปโซส์ของฝรั่งเศสพบว่า
เมื่อปีที่แล้วดัชนีแห่งความไม่เอาไหน หรือ
‘ignorance’ ไม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมรอบตัวของคนไทย
ติดอันดับ ๗ ของโลก (มติชนเรียกว่า ‘ดัชนีความไม่รู้เรื่องรู้ราว’) เป็นรองก็แต่อินเดีย จีน ไต้หวัน อาฟริกาใต้ สหรัฐ และบราซิล
สำหรับรายงานข่าวเรื่อง “ไทยติดอันดับ
๗ ประเทศที่ประชาชน ‘ไม่รู้ข้อมูลประเทศตัวเอง’ มากที่สุดในโลก” โปรดดูที่ https://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1482908487
แต่สำหรับนักการเมืองที่กล้าอ้าปากประจานว่า
“เอางบประมาณแผ่นดินไปหาเสียงด้วยโครงการประชานิยมสารพัด
ในขณะเดียวกันก็กดหัวพรรคการเมืองคู่แข่งไม่ให้ทำกิจกรรม
เท่ากับเป็นการเอาเปรียบคู่แข่งอย่างไร้ยางอาย” นี่เป็นประเด็นสำคัญ
เผื่อไม่รู้ว่าสามปีภายใต้บงการของรัฐบาล
คสช. เกิดอะไรบ้าง
ขอแนะนำไปอ่านแถลงการณ์สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ตามรายงานสถานการณ์ที่ผ่านมาตลอดปี
๒๕๖๐ ที่ว่าเต็มไปด้วยการ “ควบคุม คุกคาม และคลุกคลาน”
เขาให้รายละเอียดควรแก่การรับไว้ใส่หัว
ว่า คสช. ใช้คำสั่งฉบับที่ ๙๗ และ ๑๐๓ ที่ออกมาตั้งแต่ปี ๕๗ ‘คุมเข้ม’ สิทธิในการแสดงความคิดเห็น
ห้ามวิพากษ์การทำงานของ คสช.เด็ดขาด วิจารณ์ว่าดีไม่เป็นไร ว่าร้ายโดนตะครุบทันที
กรณี ‘คุกคาม’ เขายกตัวอย่างการฟ้องร้องสื่อและนักวิชาการที่วิจารณ์การเมืองในข้อหายุยงปลุกปั่น
ตามมาตรา ๑๑๖ ประมวลกฎหมายอาญา ในลักษณะ ‘ฟ้องเหมาเข่ง’
เป็นเครื่องมือในการปราบปรามนักเคลื่อนไหว “ซึ่งการฟ้องในช่วงหลังจะพ่วงความผิดตาม
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เข้าไปด้วย”
แล้วยังมีกรณี ‘ล้มลุกคลุกคลาน’ กันอีก
ไม่เพียงเฉพาะที่สมาคมนักข่าวฯ เอ่ยถึงสื่อสายหลักหลายแห่งปิดตัวเอง ลดบริการ
และเลิกจ้างพนักงาน เพราะความซบเซาของธุรกิจการค้า ความฝืดเคืองของการจ้างงาน
ชาวบ้านธรรมดา โดยเฉพาะสาวโรงงาน ท้ายปีนี้
ปี ๖๐ มี ‘ฟ้าผ่า’ เมื่อมิตซูบิชิปิดโรงงาน พนักงานเกือบ ๒ พันคน ‘เคว้ง’ มิใยแหล่งข่าวจากบริษัทมิตซูบิชิจะทักท้วงว่าแท้จริงมิใช่การ ‘เลิกจ้าง’
แต่เป็นเพียง ‘ปิดงาน’ จนกว่าการเจรจาระหว่างบริษัทกับสหภาพแรงงานจะเสร็จสิ้น
หลังจากที่มีการนัดหยุดงาน แล้วเจรจาปรับโครงสร้างเงินเดือนกันไม่ลงรอย บริษัทจึงตอบโต้ด้วยมาตรการดังกล่าว
ถึงกระนั้นมันก็เป็นผลกระทบต่อเนื่องมากว่า
๓ ปี จากการที่เศรษฐกิจฝืดเคืองนับแต่คณะทหารเข้าไปยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
หวังว่าจะได้เป็น ‘พระเอก’ ในสายตาพวกนั่งร้านที่กวักมือเรียกให้เข้ามา
ที่ไหนได้เมื่อเวลาและความ ‘ไร้น้ำยา’ พิสูจน์ว่ารังแต่จะจมปลักกับเผด็จการ
‘ตลกหลวง’ เอาแต่เกาะกิน
ถึงได้เริ่มดิ้นกันขึ้นมาบ้าง จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตาอย่างยิ่งในความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองสองขั้ว
พร้อมใจเตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ ๕๓/๒๕๖๐
เกี่ยวกับการสั่งให้พรรคการเมืองยืนยันสมาชิกภาพ ด้วยการจ่ายค่าสมาชิกนั้น
จะมีน้ำยาด้วยหรือไม่