ที่เขาว่าอภิสิทธิ์ ‘ดีแต่พูด’ ตกกระป๋องไปแล้วเมื่อเจอเข้ากับประยุทธ์ ‘เอาแต่พล่าม’ น่ะเป็นความจริงยิ่งกว่า ‘เชิงประจักษ์’ ดูจากตอนทั่นหัวหน้า คสช. ลงไปพล่ามภาคใต้นั่นปะไร
ที่ตรังประยุทธ์บ่นบนโพเดี้ยมเรื่อง “โฆษกไก่อูโดนด่าทุกวัน
ยิ่งพูดยิ่งโดน วันนี้พูดอะไรไม่ได้ ผิดไปหมด” แหม ถ้าเลือกพูดแต่ในสิ่งที่เป็นจริงสักครั้งก็ไม่ต้องมาเป็นแบบนี้
แล้วที่พล่ามว่า “เข้ามาไม่ได้หวังอะไร” พูดไม่รู้กี่หนเป็นต้องมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมาลบล้างคำพล่ามให้ต้องแถเถือกกันไปได้เสมอ
ทิ้งไว้แต่ความระกำในอกประชาชน คอยดูเรื่องนาฬิกากับแหวนเพชรสิ
มันคงไม่พ้นอีหรอบเดียวกันอีกแหละ
แม้แต่ว่าประธาน ปปช.จะทำขึงขัง สั่งสอบนายเก่า
(ภายใน ๓๐ วัน) เรื่องนาฬิกาอาร์เอ็มกับแหวนเพชรเม็ดโป้งของพล.อ.ประวิตร
วงษ์สุวรรณ นั้นท่านได้แต่ใดมา ว่า “ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ
ไม่สามารถเร่งรัดได้...จะต้องรอให้พล.อ.ประวิตรได้ชี้แจงก่อน”
แถมขออย่าเอาไปเปรียบกับคดีตรวจสอบนาฬิกา ๙
เรือน ๑.๘ ล้านบาทของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ทำได้ว่องไวกระฉับกระเฉง
ไหงพอมาถึงคณะยึดอำนาจที่ “มีความสนิทสนมและคุ้นเคย” กันมา ขั้นตอนจึงได้งุ่มง่าม
เนิบนาบอย่างนี้
ทำนองเดียวกันกับคดีที่ทหารตกเป็นจำเลย
ให้ต้องมีอาการสะดุดหรือกระทั่งติดกึกเกือบจะทุกครั้งไป
กรณีการเสียชีวิตในโรงเรียนเตรียมทหารของนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ แรกยึกยักเรื่องน้ำยาหมด
ทำท่าจะล่าช้า แต่ครั้นเดินหน้าชันสูตรศพอีกครั้งตามที่ครอบครัวผู้ตายร้องขอ
พอทราบผลกลับบอกว่า “มอบให้ญาติน้องเมย
(นายภคพงศ์) ซึ่งได้แสดงเจตจำนงว่า ไม่ต้องการให้ผลการตรวจชันสูตรถูกเปิดเผยออกไป”
(ตามประกาศของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์)
นี่ถ้าไม่ได้พี่สาวผู้ตายฮึดหนัก
ออกมาแจ้งต่อสื่อมวลชนว่า “ผลการชันสูตรระบุชัดเจนว่า พบรอยช้ำตามร่างกายหลายแห่ง
ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการถูกทำร้าย นอกจากนั้นยังระบุว่า ซี่โครงซี่ที่ ๔ ที่หัก
ไม่ได้เกิดจากการทำ CPR
อย่างแน่นอน” ละก็
สาธารณชนจะไม่มีทางได้ทราบเลยว่า
คำชี้แจงเบื้องต้นจากโรงเรียนเตรียมทหารว่านายภคพงศ์เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลวเท่านั้น
เป็นการโกหกและปกปิดความจริงอย่างน่าละอาย
แม้นว่ารายงานผลชันสูตรเกี่ยวกับร่างกายผู้ตายที่
น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ นำมาเปิดเผยให้สาธารณะเป็นสักขีพยาน
ก่อนการดำเนินคดีในทางศาลกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทำให้นายภคพงศ์เสียชีวิต เป็นเพียงส่วนแรกของการชันสูตร
ยังมีการชันสูตรอวัยวะภายในที่ถูกถอดออกไปจากศพดองไว้
เมื่อครอบครัวร้องขอคืนจึงได้มานั้น
จะเป็นหลักฐานสำคัญเสริมผลชันสูตรส่วนแรกให้แน่นไปยิ่งกว่าเดิม ซึ่งในคดีความตามปกติแล้วย่อมได้ตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษอย่างแน่นอน
เรื่องอึมครึมเข้าเนื้อ
คสช. และลิ่วล้อแบบนี้นี่หรือ เป็นเรื่องเลอะเทอะทางโซเชียลมีเดียที่ประยุทธ์บอกว่าอย่าไปฟัง
ฟังรัฐบาลบ้าง แต่รัฐบาลก็กระเดือกติดคอพูดไม่ออก
ได้แต่พล่ามเรื่อง
“นี่แหละที่เรียกว่าประชาธิปไตย...คราวหน้าขอให้เลือกคนดีๆ
เลือกคนที่มีวิสัยทัศน์ ทำงานเป็น ใช้งบอย่างโปร่งใส แก้ปัญหาประชาชนให้ได้”
ล้วนแต่เป็นคุณสมบัติตรงข้ามกับนักการเมืองในเครื่องแบบ คสช.ทั้งนั้น
ซ้ำร้ายพวกทหารลายพราง
คสช. นี่แหละที่พล่ามประจำวันมอมเมาเยาวชนอยู่ทุกเช้า ดัง ‘วาสนา นาน่วม’ ย้ำเตือนให้วิญญูชนทั้งหลายได้สำเหนียกกันว่า “เสาธง ๕ นาฑี ยังมีอยู่น้าาาา!!”
มันคืออะไร นักข่าวสายทหารให้อัตถาธิบาย “ตั้งแต่รัฐประหาร ๒๒ พ.ค.
๒๕๕๗ มา...ทุกๆ เช้า หลังเคารพธงชาติ ตาม รร.ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
พี่ๆ ทหารจะเข้าไปพบน้องๆ นักเรียนและครู เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจ ให้ข้อมูล
ชี้แจง สยบข่าวลือต่างๆ ที่เรียกว่า ‘เสาธง ๕ นาที’ มาวันนี้กว่า ๓ ปีแล้ว ก็ยังมีอยู่”
คุณวาสเธอเล่าเรื่องนี้จากการที่มีทหารลายพรางจากชุดปฏิบัติกิจการพลเรือนของกองพันทหารสื่อสารที่
๑ ลงพื้นที่วัดช่องลม เขตยานนาวา “ปลูกฝังอุดมการณ์ความรักชาติ และพูดถึงจิตสำนึกในการร้องเพลงชาติไทย”
เป็นอาทิ
เป็นความรักชาติที่นักวิชาการวัย ๘๕
ปีซึ่งเป็นที่ยกย่องนับถือของนานาชาตินาม ส.ศิวรักษ์ ต้องคดีในข้อหา ม. ๑๑๒
ระวางโทษร้ายแรง ฐานที่เคยปาฐกถาวิจารณ์การยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวร บุรพกษัตริย์ไทย