ชัดแจ๋วแล้วสิ ความกระสันอยู่นานยาวๆ ของประยุทธ์และลิ่วล้อ
เมื่ออดีต ส.ส.พรรคเก่าแก่ที่เคยเป็นแต่ฝ่ายค้านมาทั้งตาปี เปิดโปงหมดเปลือก
“ทหารบางคนถูกอดีตนักการเมืองหลอกว่าจะนำพรรคที่ตนเคยสังกัดไปสนับสนุน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อได้”
ครั้นอดีตนักการเมืองคนนั้น
“เมื่อยึดพรรคไม่ได้
ก็จะอาศัยอำนาจพิเศษของ คสช. รีเซตสมาชิกพรรคการเมืองทั้งหมดทุกพรรค...อดีต
ส.ส. ทุกคนจะเป็นอิสระจากพรรค บรรดาลุงๆ ก็จะไล่ช้อนอดีต ส.ส. ไปสังกัดพรรคทหาร”
แถมยังสับแหลก “กลุ่มอดีต
ส.ส. ที่เดินแผนให้คณะทหารนี้
ถ้าไปดูเบื้องหลังแต่ละคนเคยได้ผลประโยชน์จากธนาคารของรัฐจนบางแห่งจนล้มมาแล้วในอดีต
บางธนาคารก็มีสภาพย่ำแย่ในปัจจุบัน”
“พรรคของทหารที่เตรียมจัดตั้ง ว่าจะใช้ชื่อว่า
‘พรรคประชารัฐ’
ซึ่งเป็นพรรคใหม่ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคืออดีตกำนันคนดังของภาคใต้” นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์
ปูดซ้ำอีกครั้ง
“เปิดเผยข้อมูลว่านายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รองนายกฯ จะเป็นหัวหน้าพรรคให้กับพรรคของทหาร และให้ นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์
ประธานกรรมการคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เป็นเลขาธิการพรรรค”
เช่นนี้ทำให้ ธนาพล อิ๋วสกุล ฟันธงว่าอดีตนักการเมืองตัวการจัดตั้งพรรคทหารเพื่อให้ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ
ต่อ “คนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสุเทพ เทือกสุบรรณ” ผู้ซึ่งเพิ่งยื่นจดหมายในนาม
กปปส. เสนอแก้กฎหมายพรรคการเมือง
โดยอ้าง “ยังไม่เหมาะสมที่จะอนุญาตให้พรรคการเมืองต่างๆ
จัดกิจกรรมทางการเมืองได้...เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและความเท่าเทียมในโอกาสทางการเมือง
แก่พรรคการเมืองเก่าและพรรคการเมืองที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่”
มันก็เลยไปพ้องกับข้อเสนอของนายไพบูลย์
นิติตะวัน ที่แถลงย้ำความประสงค์จัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุนให้ประยุทธ์เป็นนายกฯ
ด้วยเหมือนกัน แต่บอกจะใช้ชื่อ พรรคประชาชนปฏิรูป
อันนี้ ชำนาญ จันทร์เรือง วิจารณ์ว่า “กรณีที่นายไพบูลย์
นิติตะวัน ออกมาเรียกร้องให้แก้ไข
พรป.พรรคการเมืองเพื่อให้ทุกพรรคการเมืองเท่าเทียมกัน
ผมมองว่าขณะนี้มีความเท่าเทียมกันอยู่แล้ว
การรีเซ็ตใหม่ต่างหากคือความไม่เท่าเทียม...
ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะขัดกับความเป็นจริง
แค่นี้ก็ตลกมากพออยู่แล้ว อย่าทำอะไรให้ขายหน้ามากกว่านี้เลย...อย่างนั้นก็อ้างความเท่าเทียมได้ทุกอย่าง
ซึ่งมันจะคือความเสมอภาคแต่ไม่เป็นธรรม”
นายชำนาญสาวไปถึงประเด็นที่นายสมศักดิ์
เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมาเสนอให้ ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง อันไปจุดต่อมฉุนของรองนายกฯ
ฝ่ายกฎหมายบ้าง เมื่อนายวิษณุ เครืองาม เบรคว่า “เป็นไปไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญบังคับอยู่แล้วว่าต้องสังกัด”
ทั่นรองฯ จวกตามต่อ “แต่เมื่อมันตกไปแล้วตั้งแต่ตอนร่าง
มันก็ไม่ต้องมาพูดอะไรอีกแล้วในตอนนี้ ท่านพูดช้าไปปีหนึ่ง” ซ้ำยังอ้างว่า
กรธ. ได้ถกกันมาเยอะเรื่องนี้จนสรุปได้ที่สุดว่าต้องสังกัด
ทั้งนี้พวกปรมาจารย์กฎหมาย
(ถึงจะเป็นฝ่าย คสช.) อย่าง อาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ และนายบวรศักดิ์
อุวรรณโณ ก็เคยมีความเห็นอย่างนั้น แต่มันก็จบไปแล้ว “มาพูดตอนนี้ไม่มีประโยชน์...
และมาตรา ๔๔ ก็จะไปแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้
จำไว้ด้วย...ไม่ต้องมาพูดกันแล้วและไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้
นอกจากร่างรัฐธรรมนูญใหม่”
แต่กระนั้นนักวิชาการ
ม.เที่ยงคืนยังมีความเห็นว่า ถ้า คสช. จนตรอกจริงๆ ก็คงใช้มาตรา ๔๔ นั่นแหละมาแก้
ทั้งที่ “คสช.ตอนนี้ก็ติดขัดไปหมด จะเดินหน้าถอยหลังก็ไม่ได้
จะผ่อนล็อกหรือปลดล็อกก็ไม่ได้
ถึงจะเขียนรัฐธรรมนูญล็อกไว้อย่างไรก็ตาม
ผลก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาด เชื่อคงมีการทำผลสำรวจแบบลับๆ
ซึ่งยังไงพรรคพรรคใหญ่ก็คงเหลือเป็น ๒ พรรคใหญ่เหมือนเดิม พูดง่ายๆ ว่าทำทุกวิถีทางแล้วก็ยังจะเป็นเหมือนเดิม
แต่อาจมีจำนวนไม่เท่าเดิม” นายชำนาญชี้
ที่จริง คสช.
ก็ยังไม่อยากปลดล็อคพรรคการเมืองอยู่แล้ว ครั้นมันชักวุ่นวายไม่เป็นไปตามแผนครองเมืองต่ออีก
๕ ปีโดยผ่านการเลือกตั้ง ก็ดูเหมือนจะหันกลับไปยืดเวลาปลดล็อคพรรคการเมืองต่อไปอีก
มีทางทำได้หลายอย่าง ให้
สนช.ยื้อเวลาออกไปอีกหน่อย การพิจารณากฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือก ส.ส.และสรรหา สว.
คงยืดออกไป
จากนั้นอาจมีเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้น
จนเป็นเหตุให้ คสช. เปลี่ยนแปลงเป้าหมายเลือกตั้งในต้นปี ๖๒ ออกไป เพราะต้องคุมเชิงให้สถานการณ์สงบราบคาบเสียก่อนก็ได้
ไหนๆ ก็ไหนๆ เลื่อนมาแล้วสามหน เลื่อนอีกครั้งใครล่ะจะหือ