ภาพประกอบจากข่าวเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทยของ นสพ.นิวยอร์คไทมส์เมื่อเดือนกันยายน |
จากข่าว ‘The Monarchy and Its Money’ เขียนโดย ทอม
เฟลิกซ์ โจ๊นค์ เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๘
“สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งบริหารธุรกรรมในสินทรัพย์และการลงทุนของราชวงศ์
จากการควบคุมทรัพย์สมบัติปริมาณอาจถึง ๑.๙ ล้านล้านบาท หรือราว ๕๓ พันล้านดอลลาร์
เป็นกลุ่มบรรษัทใหญ่ที่สุดในประเทศ และเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่สุดในนครหลวง
แล้วยังเป็นแขนขาอันลี้ลับน่าพิศวงที่สุดของรัฐบาลไทย
องค์กรนี้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี ๒๔๗๙
และอยู่ในการบริหารงานของเอกชนจนถึงปี ๒๔๙๑
อันเป็นช่วงที่กลุ่มเชิดชูกษัตริย์ทรงอิทธิพลสูง
เมื่อการกำกับควบคุมถูกโอนไปให้สำนักพระราชวัง เป็นที่รับรู้กันน้อยมากว่าสำนักฯ
มีการจับจ่ายอย่างไรบ้าง ไม่มีการเปิดเผยบัญชีการเงินต่อสาธารณะ
กรรมการหกคนในเจ็ดผู้จัดการได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากพระมหากษัตริย์ แม้ว่ารัฐมนตรีว่าการคลังจะนั่งเป็นประธานคณะกรรมการ
รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบการดำเนินงานได้
รายได้รายปีของสำนักงานทรัพย์สินฯ ปัจจุบันตกราวๆ เกือบ ๘๔๐
ล้านดอลลาร์ (ประเมินจากพอร์ตโฟลิโอกิจการที่สำนักฯ
บริหารจัดการตามแนวการลงทุนที่สุขุมที่สุด
คือจัดสัดส่วนหนึ่งในสามไว้เป็นทรัพย์สินที่มีการเสี่ยงน้อย เช่นเงินสด
เงินฝากธนาคาร พันธบัตร และหลักทรัพย์ของรัฐบาล) สำนักฯ ถือหุ้นมากกว่า ๒๑
เปอร์เซ็นต์ของธนาคารไทยพาณิชย์
ซึ่งเป็นสถาบันการเงินเก่าแก่และมีอิทธิพลที่สุดในประเทศไทย สำนักฯ เป็นเจ้าของ ๓๐
เปอร์เซ็นต์ในกิจการของกลุ่มสยามซีเมนต์ ที่เป็นบรรษัทอุตสาหกรรมใหญ่สุดของประเทศ
เงินทุนส่วนเกินของสำนักฯ ยังเข้าไปดำเนินการกิจการเครือโรงแรมเค็มปินสกี้
กับมีหุ้นส่วนย่อยในสาขาโรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าในประเทศไทยด้วย
เช่นเดียวกับการมีส่วนในกิจการช้อปปิ้งมอล โรงแรม ธุรกิจประกันภัย
และเครือข่ายแฟ้สฟู้ด มากมายหลายแห่ง
โดยที่ตามกฎหมายนั้นรายรับประจำปีของสำนักงานทรัพย์สินฯ
จะใช้ได้เฉพาะตามพระราชประสงค์ และผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ต้องเสียภาษี
พูดได้อีกอย่างหนึ่งว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันคร่ำครึที่มีอภิสิทธิ์ฝังลึก
ดำเนินงานอย่างปกปิดเป็นส่วนใหญ่ โดยรัฐบาลไม่สามารถเข้าไปสอดส่องได้
การดำเนินงานเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับสังคมยุคใหม่
องค์กรนี้จำต้องมีการปฏิรูปเพื่อประโยชน์ของประเทศและของสถาบันกษัตริย์เอง
จากการที่ประเทศไทยง่อยเปลี้ยเสียขาด้วยการฟาดฟันทางการเมืองระหว่างข้างเสรีนิยมกับค่ายปฏิกิริยา
การปรับสำนักงานทรัพย์สินฯ ให้ทันสมัยจะทำให้ราชสำนักโดดเด่นประดุจดังตัวแทนของความก้าวหน้า
เกียรติยศขององค์กรกับอำนาจอิทธิพลในวงการตลาดทำให้เป็นผู้ประสานที่หาตัวจับยากต่อโอกาสทางเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะในกรุงเทพฯและหมู่ชนชั้นสูงดั้งเดิม อาทิกลุ่มทหาร ธุรกิจยักษ์ใหญ่
และพวกที่เชิดชูเจ้า สำนักฯ เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ถึง ๕
ตารางไมล์ในบริเวณสุดสวยของใจกลางนครหลวง แต่ก็ให้เช่า ๙๓ เปอร์เซ็นต์ของที่ดินเหล่านี้ในอัตราต่ำกว่าตลาด
แสดงถึงการให้ความกรุณาต่อผู้เช่าเหล่านั้นเป็นพิเศษ ตัวอย่างเช่นรัฐบาลสหรัฐ
กล่าวกันว่าจ่ายค่าเช่าที่ต่อเดือนเพียงเท่าราคาตั๋วชมละครบรอดเวย์ใบเดียวสำหรับสถานที่ตั้งในใจกลางกรุงเทพฯ
วิธีการอย่างนี้ต้องเปลี่ยนเสียทีแล้ว
เริ่มแรกทีเดียวสำนักงานทรัพย์สินฯ
ควรที่จะจัดพิมพ์รายงานละเอียดเกี่ยวกับการลงทุน การครอบครองที่ดิน
และทรัพย์ศฤงคารอื่นๆ พร้อมไปกับรายรับที่ได้มาจากทรัพย์สินเหล่านี้
รวมถึงการจับจ่ายใช้สอยรายได้เหล่านั้นกับมูลค่าต้นทุนการดำเนินการ
องค์กรนี้ควรที่จะอยุ่ภายใต้การกำกับควบคุมของคณะเจ้าหน้าที่ซึ่งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้แต่งตั้ง
อันเป็นแบบเดียวกับในบริเตน นอร์เวย์ เดอะเนเธอร์แลนด์และสถาบันกษัตริย์ที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญทั้งหลาย
ซึ่งสำนักงานฯ ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายปีให้โดยการอนุมัติของรัฐสภา รัฐบาลร่วมกันกับราชสำนักเป็นผู้ตัดสินว่าอัตราการสนับสนุนต่อสำนักฯ
ควรเป็นเท่าไร และควรเป็นผู้ตัดสินในการแจกจ่ายผลตอบแทนของสำนักงานฯ แก่ผู้เกี่ยวข้องด้วย
รายงานจากสำนักข่าวเอบีซีในสหรัฐว่าผู้พิมพ์ในประเทศไทยลบบทความออกเป็นครั้งที่สาม |
เป้าหมายของสำนักงานทรัพย์สินฯ ในทุกวันนี้ที่ว่ามุ่งมั่นในการลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
นี่ก็ควรจะยกเลิกได้แล้ว จุดมุ่งหมายในการลงทุนควรจะโอนไปให้รัฐบาลเป็นผู้กำหนด
สำนักฯ น่าที่จะเปลี่ยนมาเป็นเพ่งเล็งในการได้รับผลตอบแทนสูงเท่าที่รับได้ในความเสี่ยง
หมายถึงทำการกระจายทรัพย์สินให้หลากหลาย แทนที่จะประสานการลงทุนเพียงเพื่อโอกาสงามๆ
สำหรับชนชั้นปั่นเงินเท่านั้น หุ้นส่วนของสำนักงานฯ ที่ทุ่มถมอยู่บานเบอะตามกิจการธนาคารและอุตสาหกรรมควรที่จะค่อยๆ
ลดระดับลงไปเหลือสักแค่ ๕ เปอร์เซ็นต์
การยกเอาความลี้ลับที่ปกคลุมการดำเนินงานของสำนักงานทรัพย์สินฯ
ออกไปเสียก่อนแล้วโอนไปอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล
จะเป็นสัญญานว่าสถาบันกษัตริย์ไทยจริงใจกับการแสดงความโปร่งใส
การปฏิรูปเช่นนี้จะเป็นเหมือนดั่งแจ้งให้กองทัพ นักการเมืองและนักธุรกิจรับปฏิบัติหลักการรับผิดชอบในการกระทำของตน
มันจะแผ้วทางไปสู่ระบบเศรษฐกิจเปิด
อันแบบแผนเดียวที่สอดคล้องอย่างจริงจังกับประชาธิปไตย