วันอาทิตย์, สิงหาคม 10, 2557

"แชมป์ 1984" หนุ่มแว่นดำเล่าย้อนวันถูกคุมตัวหน้าพารากอน หลังกินแซนด์วิช อ่านหนังสือ


ที่มา มติชนออไลน์
สัมภาษณ์/ภาพ : ฟ้ารุ่ง ศรีขาว
ลำดับภาพ : นัฐพงษ์ โห้เฉื่อย

การควบคุมตัวนักศึกษา 10 คน ที่ตั้งใจจะมาร่วมกิจกรรมรับประทานแซนด์วิชหน้าห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2557 แม้จะเป็นการคุมตัวในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 10 ชั่วโมง แต่เรื่องเล่าและความทรงจำมากมายของนักศึกษาแต่ละคนมีความหมายและอาจจะเป็นสิ่งที่ออกแบบความรู้สึกนึกคิดต่อเรื่องราวต่างๆของพวกเขาได้ในอนาคต

เหตุการณ์วันนั้นมีนักศึกษา6คนถูกควบคุมตัวจากห้างสยามพารากอนอีก 3 คน ถูกควบคุมตัวจากคุมตัวจากโรงแรมอินเตอร์คอนทิเนลตัล โดยทั้ง 9 คน ยังไม่ทันได้ทำกิจกรรมรับประทานแซนด์วิช

มีเพียงนักศึกษาชายคนหนึ่ง ซึ่งในที่สุดเขาเป็นคนเดียวที่ได้มานั่งรับประทานแซนด์วิชหน้าห้างพร้อมอ่านหนังสือ 1984 และเปิดเพลงชาติฝรั่งเศส ก่อนจะถูกคุมตัวผ่านทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าสยามไปยังห้างสยามสแควร์วัน และมีผู้ถ่ายคลิปเหตุการณ์ดังกล่าวนำมาเผยแพร่ทางยูทูบความยาวประมาณ 8 นาที ส่งผลให้ผู้ที่เห็นคลิปมีความรู้สึกแตกต่างกันไป ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

มติชนออนไลน์ สัมภาษณ์ "แชมป์ 1984" นักศึกษาแว่นดำ ซึ่งเป็นคนเดียวที่ได้ทำกิจกรรมในวันที่ 22 มิ.ย. 2557 อันตรงกับวันครบรอบ 1 เดือนการเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.


-ทำไมเลือกไปกินแซนด์วิช อ่านหนังสือ เปิดเพลง หน้าสยามพารากอน เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.

ความตั้งใจแรกคือผมจะมาถ่ายรูปนักศึกษาที่นัดทำกิจกรรม แต่เมื่อเดินมาแล้วผมไม่เจอใครเลย เจอแต่ตำรวจในเครื่องแบบจำนวนมากยืนอยู่ตรงหน้าห้าง ผมเจอคุณนิค นอสซ์ติส นักข่าวต่างชาติที่เขาตามถ่ายงานแบบนี้ เขาบอกว่านักศึกษาที่จะมาจัดงานโดนจับไปหมดแล้ว

ผมมาเจอคนนั่งอ่านหนังสือ1คนไม่รู้เป็นพวกเดียวกันหรือเปล่าไม่รู้อ่านหนังสืออะไรด้วยแล้วก็มีคนใส่เสื้อสนับสนุนการเลือกตั้งเดินมาถามว่างานเป็นอย่างไรบ้างผมก็บอกว่าโดนจับไปหมดแล้วแล้วหลังจากนั้นผมก็นั่งนึกในใจว่าทำอย่างไรดีถ้าทุกคนโดนจับไปหมดงานก็ล่ม ผมก็ค่อนข้างมีอารมณ์หงุดหงิดแล้วว่าจับทำไม การนัดกินแซนด์วิชผิดด้วยหรือ ก็คิดว่าต้องมีสักคนทำอะไรสักอย่าง จึงเริ่มก่อน

วันนั้นโชคดีที่พ่อผมซื้อแซนด์วิชอย่างดีมาจากห้างโดยที่เขาไม่รู้เรื่องว่าจะมากินหน้าพารากอนผมก็มาเปิดกินและหยิบหนังสือ1984มาอ่านที่เป็นเล่มนี้เพราะเคยมีกลุ่มที่นัดอ่านเล่มนี้จึงเห็นว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ดีจริง ๆ วันนั้นเตรียมเรื่องแอนนิมัลฟาร์มมาด้วย ซึ่งพูดถึงการปฏิวัติและการสูญเสียอุดมการณ์การปฏิวัติ แต่ก็คิดว่า 1984 ตรงกว่าเลยเปิดอ่านพร้อมกินแซนด์วิช

ตอนแรกคุณนิคก็มาถ่ายก่อน ต่อมาเริ่มมีคนมาถามโน่นถามนี่ หลังจากนั้นเมื่อกินแซนด์วิชหมด 1 ชิ้นผมก็เอามือถือมาเปิด โดยความตั้งใจแรกผมเห็นว่ามีประกาศห้ามชู 3 นิ้ว ถ้าชูอาจถูกจับได้ ความหมายหนึ่งของการชู 3 นิ้วคือ เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ซึ่งเป็นคำขวัญการปฏิวัติฝรั่งเศส เมื่อเขาห้ามชู 3 นิ้ว ผมก็มานึกว่า โอเค งั้นเราเปิดเพลงชาติฝรั่งเศสแล้วกัน มีความหมายเหมือนกัน จึงเปลี่ยนวอลเปเปอร์มือถือเป็นธงชาติฝรั่งเศสแล้วเปิดเพลงจากโทรศัพท์

วันนั้นผมก็เตรียมไว้หลายเพลงทั้งดูยูเฮียร์เดอะพีเพิลซิงจากหนังเลอมิสเซอราฟเพลงของจิตรภูมิศักดิ์ แบบดุเดือดๆ ก็หลายเพลง แต่มาคิดว่าเพลงอะไรที่คนน่าจะรู้จักที่สุดก็น่าจะเพลงชาติฝรั่งเศส

ต่อมาคนก็มามุงเยอะและผิดแผนที่จากเดิมคิดว่าจะมานั่งแป๊บเดียวแล้วหลบออกไปทีนี้ก็เริ่มหาหนทางจะทำอย่างไรต่อเห็นฝนจะตกก็บอกนักข่าวว่าฝนจะตกแล้วขอกลับก่อนเราก็เก็บข้าวเก็บของเตรียมจะเดินกลับ

ตอนนั้นมีคนมาล้อมเปิดช่องให้เดินเราก็มองโลกในแง่ดีว่าพวกเดียวกันหรือเปล่ามาช่วยกัน มองโลกแง่ดีเกินไปหน่อยก็เดินตามเขาไปเลย จากเดิมแผนผมคือเดินเข้าห้างแล้วปะปนกับฝูงชนในห้าง ปรากฏว่ามีคนมาเดินล้อมแล้วบังคับกลายๆ ให้เดินไปทางบีทีเอส กระทั่งเขามาล็อคแขนถึงรู้ว่าเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ

ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเป็นใครผมยังขอบคุณเลยถ้าฟังในคลิปจะได้ยินผมบอกขอบคุณครับๆเราก็นึกว่าเป็นพวกเดียวกันแต่ไม่ใช่


-ตอนที่ถูกลากไป เหตุการณ์เป็นอย่างไร

เนื่องจากเขากระชากแขนไปเร็วมาก เขาจะหลบนักข่าว ผมก็เดินช้า ตามไม่ไหว ผมหกล้มแล้วเข่าก็ครูดลงไปเลย ผมพยายามจะหนีไปขึ้นรถไฟฟ้า แต่โดนล็อค

บางคนคิดว่าผมทิ้งตัวเพื่อขัดขืน จริง ๆ ไม่ใช่ แต่ความจริงคือล้มเพราะเดินไม่ทันจึงถูกลากไปตามทาง ยังไงเขาก็จะเอาผมไปให้ได้ ก็มีการฉุดกระชากจนกระทั่งหัวเข็มขัดหลุดออกมา แล้วก็กางเกงที่ใส่วันนั้นหูกางเกงขาดหูหนึ่ง รองเท้าก็เสียหาย

ผมก็บอกขอเดินช้าๆ ขาผมไม่ดี ตอนนั้นผมจำอะไรไม่ได้ แต่พอมาดูในคลิปก็มีตบหัว แต่ตอนนั้นจำไม่ได้

จากนั้นก็เดินเข้าไปลงลิฟท์ห้างสยามสแควร์วัน ผมโดนกระแทกแว่นดำหลุด คิดว่าจะไม่ได้คืนแล้วแต่เจ้าหน้าที่ก็เก็บมาคืนให้ ผมคิดว่าคงมีคำสั่งให้คืนของให้ครบ

ตอนควบคุมตัวผมก็คงมีการวางแผนไว้หมดแล้วอย่างดีเขารู้เส้นทางที่จะนำตัวมาจากนั้นก็ลงลิฟต์มารอรถอยู่หน้าลิฟต์ชั้นล่างสุดซึ่งหน้าลิฟต์มีกล้องวงจรปิดแต่ไม่ทราบว่ายังมีคลิปอยู่ไหมจากนั้นมีการสอบสวนเบื้องต้น

มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอารูปลูกมาให้ดู บอกว่าเพราะพวกผมมาประท้วงจึงทำให้เขาไม่ได้ไปเจอลูก ผมไม่รู้เขาเป็นใคร เพราะเขาอ้างว่าเป็นทหาร แต่ตอนผมไปถามทหารในเครื่องแบบภายหลัง ระหว่างถูกสอบสวนที่สนามกีฬากองทัพบก เขาบอกว่าพวกนี้อาจไม่ใช่ทหารจริงก็ได้

และที่ตลกคือ เมื่อกลางเดือน ก.ค. บังเอิญผมได้อ่านบทสัมภาษณ์นักศึกษาที่โดนจับไปก่อนผมหลายวันก่อนหน้านั้น มีคนหนึ่งบอกว่ามีทหารเอารูปลูกมาให้ดู ผมจึงคิดว่าเป็นไปได้ 2 อย่าง คือ เป็นทหารคนเดียวกัน หรืออีกอย่างคือเรื่องรูปลูกเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง เอารูปเด็กเกิดใหม่มาให้ดูแล้วบอกว่าพวกผมทำให้เขาเดือดร้อน เราก็ไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก็นึกสภาพ "การว้ากน้อง" ซึ่งมีการกดดันด้วยวิธีต่างๆ

ช่วงถูกควบคุมตัวได้รับบาดเจ็บบริเวณหัวเข่า คาง คอ ใบหน้า แต่ตอนนี้ 1 เดือนผ่านไปก็หายแล้ว

เมื่อรถมาถึงก็ถูกนำตัวขึ้นลิฟต์ไปชั้น 1 แล้วเดินออกจากประตู ไปขึ้นรถตู้ตำรวจด้านหลังห้างสยามสแควร์วัน ไป สน.ปทุมวัน เจอนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่จัดงาน ถูกจับจากพารากอน 6 คน ส่วน 3 คนที่ถูกจับจากโรงแรมอินเตอร์คอนทิเนลตัล ถูกนำไปสนามกีฬากองทัพบกไปสอบสวนล่วงหน้าแล้ว ซึ่งตรงนั้นอยู่ใกล้ๆ สโมสรทหารบก แต่สนามกีฬากองทัพบกเล็กกว่า สโมสรทหารบกเอาไว้สำหรับคนถูกเรียกตัว แต่เนื่องจากพวกเราถูกจับมาจึงไปสนามกีฬากองทัพบก

เมื่อเราไปเจอกันที่ สน.ปทุมวัน ก็ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่ก็ได้ทักทายกันเพราะผมไปถ่ายรูปงานพวกเขาบ่อย จากนั้นก็มีการทำประวัติ และมีทนายอานนท์ นำภา (ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนที่ว่าความให้ บ.ก.ลายจุดและอากง เอสเอ็มเอส) มาช่วยรวมข้าวของไปเก็บไว้จะได้ไม่หาย เมื่อตำรวจทำประวัติเสร็จก็ส่งตัวต่อให้ทหารพาขึ้นรถตู้ไปสอบสวนที่สนามกีฬากองทัพบก


-ส่วนตัวเริ่มทำกิจกรรมการเมืองครั้งแรกเมื่อไหร่

ผมตามไปถ่ายภาพกิจกรรมชุมนุมมานานตั้งแต่ช่วงมีรัฐประหาร19ก.ย.2549ผมก็ไปถ่ายรูปกลุ่มคัดค้านก่อนปี2549 ก็สนใจเรื่องการเมืองอยู่แล้วแต่ไม่ได้เข้าร่วมอะไรนัก

ช่วงที่มีเสื้อเหลืองก่อนรัฐประหาร19ก.ย.2549ผมก็มีความโน้มเอียงมาทางเสื้อเหลืองบ้างเหมือนกันตอนนั้นกระแสขับไล่"ทักษิณ"แรงมาก แล้วทักษิณก็เรียกว่าใช้อำนาจเกินเหตุไปหลายเรื่อง แต่ว่าพอมาถึงการเรียกร้องนายกฯพระราชทาน นายกฯ ม. 7 หรือการรัฐประหาร ผมรู้สึกว่าไม่ใช่และไม่ถูกต้อง

การรัฐประหารทุกครั้งก็จะทำให้คนจำนวนหนึ่งเปลี่ยนแปลงแนวคิดได้พอสมควรผมเองก็เปลี่ยนมาอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยเต็มตัวหลังจากนั้นผมก็ตามถ่ายงานชุมนุมที่ต่างๆมาเรื่อยๆรวมทั้งปี2552 ปี 2553 ก็มีเหมือนกัน ถ่ายเก็บไว้ดูคนเดียว

หลังจากนั้นมาตอนปี 2553 ก็อยู่ในสถานที่ที่มีการยิงกัน แต่ไม่มีรูปคนถูกยิง ไม่มีรูปคนตาย ไม่มีรูปสำคัญ เพราะผมไม่ได้อยู่แนวหน้าที่มีอันตราย

เรื่องวิกฤตการเมืองครั้งล่าสุดผมก็สองจิตสองใจเพราะใจหนึ่งผมก็รู้สึกโมโหโกรธพรรคเพื่อไทยพอสมควรที่ออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งออกมาตอนที่"บก.ลายจุด"คัดค้านพ.ร.บ.นี้ที่ราชประสงค์ผมก็ไปงานนี้ไปถ่ายรูปเช่นเดิม

หลังจากนั้นสถานการณ์ก็แย่ลงเรื่อยๆ มีการพยายามขัดขวางการเลือกตั้ง พยายามล้มเลือกตั้งให้ได้ ตอนมีงานรณรงค์จุดเทียนสนับสนุนการเลือกตั้ง ผมก็ไปถ่ายรูปมาตลอด งานกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีฯ ผมก็ไป

กระทั่งสถานการณ์ตึงเครียดเมื่อมีการประกาศกฎอัยการศึก ที่หน้าหอศิลป์ก็มีคนไปประท้วง ทั้ง "อั้ม เนโกะ" "นิว สิรวิชญ์" และหลายคน ผมก็ไปถ่ายรูปมา รวมถึงเหตุการณ์ผลักดันกับทหาร วันที่ 28 พ.ค. ผมก็อยู่ในเหตุการณ์ วันที่มีการชุมนุมวันอาทิตย์ที่แมคราชประสงค์ (25 พ.ค.) ผมก็ไปถ่ายรูป หลังจากนั้นมีการเคลื่อนไปอนุสาวรีย์ชัยฯ ผมก็ไปถ่ายรูป

แล้ววันที่มีการชู 3 นิ้วที่เทอร์มินัล 21 (1 มิ.ย.) ผมก็ไป จนกระทั่ง บก.ลายจุด ถูกจับ (5 มิ.ย.) ก็ไม่มีผู้นำ ทุกอย่างก็อ่อนกำลังลงไปมาก หลังจากนั้น ผมก็ไปร่วมกับกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีฯ กลุ่ม ศนปท. เขานัดไปที่ไหนก็ตามไป เป็นผู้ตาม

กิจกรรมฉายหนังต้านรัฐประหารที่ ม.เกษตร (6 มิ.ย.) ผมก็คิดว่าจะไป แต่เมื่อเปิดเฟซบุคพบว่างานถูกสั่งยกเลิกแล้วผมก็นั่งอยู่บ้าน ได้ทราบข่าวคราวต่างๆ ว่ามีการกินแซนด์วิชครั้งแรก

หลังจากนั้นมีแจกแซนด์วิชอีกรอบที่ธรรมศาสตร์ (8 มิ.ย.) ผมไปถ่ายรูปอีก ตอนนั้นเจอหลายคนที่คุ้นหน้ากัน "โรม" "นิว" "โตโต้" วันนั้นตอนแรกเขาจะแจกที่สนามหลวงแต่สนามหลวงถูกสั่งปิดก็เลยมาแจกนอกธรรมศาสตร์ เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบก็มีการแฝงตัวไปในครั้งนั้นด้วย ไปถ่ายรูปและจับตาดูคนที่สำคัญๆ ของการเคลื่อนไหว

หลังจากนั้นก็มากินแซนด์วิชที่หน้าสยามพารากอน (22 มิ.ย.) โดนจับไป สน.ปทุมวัน แล้วส่งต่อไปที่สนามกีฬากองทัพบก เข้าไปแล้วทุกคนก็จะถูกแยกสอบ ไม่ให้ปรึกษากัน สอบเดี่ยว

"นิว" เล่าให้ฟังภายหลังว่าเขาถูกทหารบอกให้แปลเนื้อเพลงชาติฝรั่งเศส ที่ผมเปิดที่หน้าสยามพารากอน เพราะนิวพูดภาษาฝรั่งเศสเป็น

ทหารที่มาสอบผมคนหลักก็คือทหารนอกเครื่องแบบที่มาถ่ายรูปผมที่หน้าสยามพารากอนระหว่างสอบก็จะมีจิตวิทยาต่างๆเช่นการให้นั่งรอนานๆโทรศัพท์ก็โดนยึด หนังสือก็ฝากทนายอานนท์ นำภาไปแล้ว คนอื่น ๆ ก็โดนสอบหมดแล้ว ผมนั่งรอคนเดียวก็ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายไปแก้เบื่อ สักพักก็ต้องมาเซ็นเอกสารพร้อมเงื่อนไขต่าง ๆ

มีใบที่บอกว่าการดูแลต่าง ๆ เป็นไปด้วยดี ซึ่งก็จริงนะ แม้ว่าตอนที่ถูกควบคุมตัวจากหน้าสยามพารากอนจะมีเหตุการณ์ชุลมุน แต่ตอนที่ไปอยู่ในสนามกีฬากองทัพบกไม่มีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น ผมยืนยันเลยไม่มีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นในตอนนั้น หลังจากเข้าสถานีตำรวจทุกอย่างก็เป็นไปตามขั้นตอน ไม่มีการใช้ศาลเตี้ย ผมและเพื่อนๆ ไม่ถูกซ้อม แต่ผมและเพื่อนจะถูกจับตามองทุกฝีก้าว แม้แต่จะไปห้องน้ำก็ถูกตาม

นอกจากขั้นตอนการจับตัวซึ่งมีการกระทบกระทั่งกันแล้วก็ไม่มีเรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้นอีกเขาก็ให้เซ็นใบยืนยันว่าระหว่างถูกควบคุมตัวไม่ได้ถูกทำร้ายร่างกายซึ่งผมได้แย้งไปว่าตอนจับตัวไม่ได้แจ้งอะไรผมเลยแล้วก็มีการกระทบกระทั่งกันในช่วงจับตัวแต่เขาบอกว่าใบที่ให้เซ็นนี้ระบุเฉพาะช่วงเวลาที่อยู่ในการควบคุมของทหารเท่านั้นไม่นับรวมช่วงที่ถูกจับผมจึงยอมเซ็น

จากนั้นทหารนอกเครื่องแบบที่หน้าพารากอนก็เอารูปผมที่เขาถ่ายไว้มาให้ดู โทรศัพท์ที่ยึดไปเขาก็เอามาเปิดดู เขาก็บอกให้ผมให้ความร่วมมือไม่งั้นจะไปเรียกตัวเพื่อนที่ติดต่อกันทางโทรศัพท์ของผมมาสอบสวนด้วย เขาทราบว่าผมพูดภาษาอังกฤษได้ จึงถามว่าเป็นคนติดต่อสื่อต่างชาติหรือไม่ ซึ่งผมก็ไม่ได้ติดต่อ แต่ผมรู้จักนิค นอสซ์ติส คนเดียว ผมให้ชื่อนิค ไปเพราะรู้ว่านิคผ่านอะไรมาเยอะ อยู่ในเมืองไทยมานาน เอาตัวรอดได้

แล้วก็ถามว่าทำไมผมเพิ่งมากิจกรรมนี้ ความจริงผมไปหลายที่ แต่ผมไม่ได้เด่น แล้วเขาก็บอกว่าผมไม่มีอุดมการณ์จริงหรอกเพราะผมออกมาช้า จริงๆ ตอนนั้นผมก็หงุดหงิด อยากจะบอกว่าผมออกมาตั้งแต่ปี 2549 แล้ว แต่ผมคิดว่าอาจจะเป็นการยั่วยุให้ผมบอกข้อมูล ผมก็พยายามไม่บอก หลังจากนั้นเวลาเขาพูดอะไรที่เป็นการกดดันหรือยั่วโมโหผมก็จะนั่งหลับตาเฉยๆ ฟังไปเรื่อยๆ ไม่เถียง

เขาก็รู้ว่าผมพยายามจะเงียบเขาก็เลยเอาเรื่องเพื่อนมาเตือนอีกครั้งบอกว่าจะไปเรียกตัวเพื่อนซึ่งมีข้อมูลว่าติดต่อกันในโทรศัพท์ของผมมาสอบสวนผมไม่อยากให้เพื่อนเดือดร้อนเลยต้องตอบเขา

เจ้าหน้าที่สอบสวนมีสองคนคนหนึ่งขึงขังคนหนึ่งเป็นมิตรถามถึงทัศนะคติต่อสถาบันต่างๆในสังคมแล้วเขาก็พยายามให้ตอบว่าถูกจ้างมาใช่ไหม เขาเชื่อว่ามีคนจ้างมา เขาถามว่าชื่นชมใคร "บก.ลายจุด" ใช่ไหม ผมก็บอกว่า "จาตุรนต์ ฉายแสง" แต่จริงๆ ผมก็ชอบ "บก.ลายจุด" ด้วยนะ แต่ผมกลัวว่าถ้าบอกไปแล้ว "บก.ลายจุด" จะเดือดร้อนเพราะตอนนั้นเขาโดนขังอยู่ ส่วนคุณจาตุรนต์ ถูกปล่อยออกมาแล้ว

เจ้าหน้าที่พยายามจะโยงว่า "บก.ลายจุด" เป็นหัวหน้า เพราะเขามีชุดความคิดอยู่ชุดหนึ่งแล้วอยากให้เราตอบตามนั้น เช่น มีแกนนำ และมีการจ้างมา ทั้งที่ตอนนั้นคนที่นัดทำกิจกรรม ก็คือนักศึกษา ศนปท. และธรรมศาสตร์เสรีฯ ผมเองก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา ผมเป็นเพียงคนที่จะไปถ่ายรูป ไปร่วมงาน

ส่วนเรื่องค่าจ้างผมก็ไม่มีการรับจากใครเพราะผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินรวมถึงการที่ผมพูดภาษาอังกฤษได้แล้วจะบอกว่าผมเป็นคนนัดนักข่าวก็เป็นเรื่องไม่จริง

ตอนสอบสวนเขาจะให้พูดถึง“ทักษิณ”ในแง่ดีผมก็บอกเลยว่าผมไม่ได้ชอบทักษิณอะไรมากมายหรอกตอนพันธมิตรฯเสื้อเหลืองชุมนุมตอนต้นผมก็เห็นด้วย ก่อนจะถอนตัวออกมาเมื่อมีการขอนายกฯ ม.7 แต่ถ้าจะให้พูดถึงข้อดีของ "ทักษิณ" แค่ข้อเดียวผมก็จะตอบว่านโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นเรื่องดีที่สุดของทักษิณที่เคยทำมา

เขามีคำตอบในใจและพยายามจะต้อนให้เราตอบคำตอบนั้นรวมถึงบอกว่าเราเป็นพวกของ"ทักษิณ"สุดท้ายผมพยายามยืนยันคำตอบตัวเองไปส่วนเขาจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขา

หลังจากนั้นก็เจออาจารย์ปริญญาเทวานฤมิตรกุลรองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เขาก็มาช่วยมานั่งคุยรายตัวเขาบอกว่าเขามาดูแลเด็กธรรมศาสตร์ แต่เนื่องจากเห็นว่าทุกคนเป็นนิสิตนักศึกษา ถูกจับมาพร้อมกัน เขาจะช่วยทุกคนโดยมีข้อแม้ว่าอย่าไปขัดเงื่อนไขของทหารอีก ทุกคนที่ถูกจับมาวันนั้นได้กลับบ้านหมดแต่โดนยึดมือถือไว้

ก่อนจะกลับบ้านก็มีการให้ทุกคนมานั่งเก้าอี้รวมกันแล้วให้อาจารย์ปริญญามาให้โอวาทซ้ำอีกรอบแล้วให้แต่ละคนเอาเอกสารที่เซ็นมาถ่ายรูปคู่กับอาจารย์ปริญญาเป็นหลักฐานไว้ด้วย

รวมเวลาจากตอนที่ผมโดนจับ5โมงเย็นไปทำประวัติที่สน.ปทุมวันจน6 โมง ไปถึงสนามกีฬากองทัพบกราว ๆ 1 ทุ่ม แล้วสอบสวนถึงตี 1 ก็อยู่ตรงนั้น 6 ชั่วโมงเต็ม ๆ อาจารย์ปริญญา มาช่วยดูแลว่าใครโดนยึดกระเป๋าสตางค์ ไม่มีเงิน อาจารย์ปริญญา ก็ให้เงิน ใครจะให้ไปส่งก็จะไปส่ง

แต่เผอิญมีเพื่อนๆ ของนักศึกษาธรรมศาสตร์เอาของที่ฝากทนายอานนท์ นำภาไว้มาคืนให้ ผมก็ลงไปเอาของ ได้พูดคุยกับพวกที่ถูกควบคุมตัวจากโรงแรมอินเตอร์คอนทิเนลตัลโดยละเอียดก็ตอนนั้น

ทหารเขาจะให้โทรตามพ่อแม่มารับผมก็ไม่ยอมโทรเพราะกลัวพ่อแม่จะเป็นห่วงนอกจากนั้นเรารู้สึกว่าแล้วทำไมต้องให้พ่อแม่มาเดือดร้อนกับเราในเมื่อผมก็สามารถตัดสินใจอะไรเองได้แล้วผมถือว่าตัวเองมีวุฒิภาวะระดับหนึ่งไม่ต้องพึ่งให้พ่อแม่มาช่วยแล้วแต่นักศึกษาบางคนก็โทรตามพ่อแม่ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวทางของเขา เขาก็โทรตามมา แต่ผมไม่ได้ตาม ผมถือว่าผมรับผิดชอบตัวเองได้


-คืนนั้นกลับอย่างไร

ติดรถเพื่อนธรรมศาสตร์ออกมาต่อแท็กซี่ปล่อยตัวตี1กลับถึงบ้านตี2อย่างไรก็แล้วแต่ต้องขอขอบคุณอาจารย์ปริญญา ขอบคุณทนายอานนท์ นำภา เอาไว้ด้วย จริงๆ อาจารย์ปริญญาก็โดนต่อว่าเยอะ ว่าไปสมยอมอะไรกับทหาร แต่ผมถือว่าอาจารย์ปริญญา ช่วยพวกเราไว้ทุกคน ไม่ให้ถูกตั้งข้อหา ไม่ต้องขึ้นศาลทหาร


-วันนั้น ได้รับบาดเจ็บไหม

โตโต้บอกว่าจมูกปากผมมีเลือดออก แต่ผมไม่รู้สึก รู้แค่มีความระบมที่หน้าที่คาง และเข่ามีแผล ก็กลับมาใส่ยาที่บ้าน ตอนที่ถูกจับนั้น ความทรงจำผมหายไปบางส่วน ถ้าไม่เห็นคลิปภายหลังก็คงจำได้ไม่หมด ถ้าตรงไหนไม่เจ็บผมก็จำไม่ได้


-หลังจากวันนั้นเป็นอย่างไร ถูกเรียกอีกไหม

มีวันที่ต้องไปรับโทรศัพท์คืนหลังจากนั้น คือถูกจับวันที่ 22 มิ.ย. และรับมือถือคืนวันที่ 24 มิ.ย. ตอนแรกบอกให้ไปเอามือถือคืนเวลา 9 โมง ที่สนามกีฬากองทัพบก แต่ปรากฏว่าเราต้องไปนั่งทำข้อสอบประมาณ 3-4 หน้า ให้เขียนความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการเมือง เรื่องสถาบัน เรื่อง คสช. ผมคิดว่าตอบข้อสอบก็ตอบไปเต็มพรืด

หน้าถัดมาก็ถามชุมนุมที่ไหนบ้าง ได้รับค่าจ้างไหม เคยทำผิดกฎหมายหรือไม่ หลบเลี่ยงการติดตามอย่างไร ผมก็เขียนตอบไปว่า ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติสิ่งที่ผมทำก็คงไม่ผิดกฎหมาย แต่นี่เป็นสถานการณ์ไม่ปกติ เขาบอกว่าผิดก็คือผิด

เช้าวันนั้นมีเพื่อนบางคนไม่ได้มา เพราะวันที่ถูกจับเขาไม่ได้เอามือถือไปจึงไม่ถูกยึด จึงไม่ได้มารับมือถือตามที่นัด ก็ต้องตามตัวมาอีก เพราะถ้ามาไม่ครบทุกคน ทหารที่ทำหน้าที่ควบคุมอาจจะถูกตำหนิได้ ซึ่งเราทุกคนก็คงไม่หลบหนีเพราะยังอยากมาเรียนให้จบ

จากนั้นทุกคนก็มาเจอกันที่เทเวศร์ไปพบกับนายทหารคนแรกเขาก็พูดจาดีจริงๆแล้วทหารตั้งแต่ระดับล่างสุดถึงบนสุดทุกคนที่ได้คุยด้วยก็บอกว่ามีความจำเป็นที่ต้องยึดอำนาจเพราะอะไรเพราะบ้านเมืองวุ่นวายมีการทำร้ายร่างกายกันพูดเหมือนเอกสารที่ได้รับแจกมาแล้วเขาก็บอกว่ามีปัญหาเพราะนักการเมืองและตำรวจแก้ไขสถานการณ์ไม่ได้

นอกจากนั้นเราก็พูดกับเขาดีๆผมก็โดนละเมิดเสรีภาพหนักคนหนึ่งผมก็ย้ำไปว่าเสรีภาพเป็นเรื่องสำคัญมากต้องให้เสรีภาพอย่าไปจำกัดจากนั้นทุกคนก็กินข้าวที่เขาเตรียมให้ เป็นผัดกะเพราทะเล ทุกคนหิวเพราะตอนแรกคิดว่าจะแค่มาเอามือถือเลยไม่ได้กินข้าวเช้ากันมา

จากนั้นก็รอพล.อ.ไพบูลย์คุ้มฉายาที่ห้องซึ่งพล.อ.ไพบูลย์ ยุ่งมากถึงกับต้องนำอาหารมารับประทานด้วยคุยไปด้วย แล้วเขาก็ฟังพวกเรา แต่เมื่อฟังไปสักพักเขาก็จะบอกว่าทำไมทำได้หรือทำไม่ได้

คำถามแรกที่ พล.อ.ไพบูลย์ถาม ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่ถามเรื่องการเลื่อนเปิดเทอมให้ตรงกับอาเซียน เขาก็ถามว่าเดือดร้อนกันไหมนิสิตนักศึกษาเปิดเทอมและเรียนจบช้าลงเดือนสองเดือนเดือดร้อนกันหรือเปล่า พวกเราก็ตอบว่าไม่ได้เดือดร้อนมาก เพราะคนที่ขยันก็ไปอ่านหนังสือหรือทำงานพิเศษได้ แต่พล.อ.ไพบูลย์บอกว่าทำไมเราต้องมาทำตามประเทศอื่นๆ ให้ลำบาก

ผมไม่ได้ถามว่าเขาถามถึงเรื่องนี้ทำไม แต่ผมเดาว่า พล.อ.ไพบูลย์ ต้องการสื่อให้พวกเรารู้ว่าประเทศไทยไม่จำเป็นต้องทำตามประเทศอื่นตั้งแต่เรื่องประชาธิปไตยไปจนถึงเรื่องการเปิดเทอม

หลังจากนั้นก็ถามว่าถ้าไม่ชอบให้ยึดอำนาจแล้วย้อนกลับไป22พ.ค.จะทำอย่างไรเมื่อเราตอบว่าต้องเลือกตั้งพล.อ.ไพบูลย์ก็บอกว่าทำไม่ได้เพราะมีการปิดหน่วยเพราะว่าศาลบอกแล้วว่าถ้าปิดหน่วยเลือกตั้งแม้แต่หน่วยเดียวก็ไม่ได้ ซึ่งต้องแก้กฎหมาย

และเขาบอกว่าในสถานการณ์ ณ ขณะนั้น เขาทำอะไรไม่ได้ รัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้ ผมก็พยายามแนะๆ ไปว่า งั้นก็ให้ทหารตำรวจมาคุ้มกันหน่วยเลือกตั้ง ใครที่ขัดขวางก็ต้องเอาขึ้นรถไปสงบสติอารมณ์ ไม่ได้ให้ไปทำร้ายอะไร แต่เขาบอกว่าไม่ได้ เพราะการคุ้มกันหน่วยเลือกตั้งต้องใช้ทหารตำรวจจำนวนมาก อย่างการจับตัวผมมาก็ใช้ทหารตำรวจ 5-6 คน ฉะนั้นถ้ามีคนประท้วง 200 คนก็ต้องเอาทหารตำรวจไปเป็นพัน เขายืนยันว่าทำไม่ได้ และรัฐบาลช่วงนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน เขาถึงเข้ายึดอำนาจเพราะนักการเมืองทำอะไรไม่ได้

เมื่อมีการพูดคุยกันเรื่องเก่าว่ามีการเล่นงานฝ่ายเดียวอยู่หลายครั้งเขาก็บอกว่าเราอย่าพูดเรื่องเก่ากันให้มองไปข้างหน้า

เขาก็ถามถึงความฝันในอนาคตอยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไรทีนี้ต่างคนก็จะตอบตามที่ตัวเองเรียนมาเช่นสาขารัฐศาสตร์ก็จะตอบเรื่องรัฐสวัสดิการคนเรียนนิติศาสตร์ก็อยากเห็นรัฐมีนิติรัฐนิติธรรมเขาก็ปล่อยให้เราพูด แล้วเขาก็บอกว่าดี ทุกคนมีอุดมการณ์มีความบริสุทธิ์ แต่พวกคุณยังเป็นเด็กอยู่ ตอนนี้ขอให้ผู้ใหญ่จัดการบ้านเมืองไปก่อน เชื่อว่าแล้วสักวันหนึ่งความฝันพวกคุณจะเป็นจริง แต่ช่วงนี้เราต้องจัดการไปก่อน ก็คล้ายๆ เนื้อเพลงคืนความสุข คือ “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” หลังจากนั้น พล.อ.ไพบูลย์ ก็มีประชุมต่อ

หลังจากนั้นนายทหารอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนายทหารคนสนิทของ พล.อ.ไพบูลย์ ก็มาคุยด้วยอย่างเป็นมิตร เขาก็บอกว่า พล.อ.ไพบูลย์ มีภารกิจมาก ถ้ามีอะไรจะบอกอีกก็ฝากเขาไว้ได้ ผมก็พูดถึงพื้นที่ในการแสดงออกว่าอย่ามองว่าทุกคนถูกจ้างมา เขาก็บอกว่าไม่ใช่ เพราะผู้ประท้วงที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิบางส่วนก็มีการจ้างมา แม้ว่านักศึกษาจะมีอุดมการณ์บริสุทธิ์แต่คนที่ถูกจ้างมาก็มีจริง

ผมก็พูดถึงเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกน่าจะจัดพื้นที่ไฮด์ปาร์คในสวนให้ทหารในเครื่องแบบไปฟังและตอบคำถามประชาชนและผมบอกว่าการจับตัวผมแบบนั้นก็เป็นผลร้ายต่อภาพลักษณ์คสช.เองซึ่งเขาก็ขอโทษและบอกว่าเวลานายทหารออกคำสั่งถ้าบอกว่า “เอาตัวมาให้ได้” ทหารระดับปฏิบัติการก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อพาตัวมา เขาในนามคนสั่งก็ต้องขอโทษแทนทหารระดับปฏิบัติการด้วย ซึ่งนายทหารคนแรกที่พบในช่วงเช้าก็พูดแบบเดียวกัน

วันนั้นก็ได้รับคืนโทรศัพท์ และถ่ายรูปร่วมกันว่าได้รับการปล่อยตัวแล้ว


-แชมป์ ชอบอ่านหนังสือประเภทไหน

หนังสือพิมพ์ แล้วก็หนังสือแนวนักสืบ อย่าง 1984 ผมก็ไม่ได้ชอบมากมายหรอกนะครับ เพราะเป็นหนังสือที่ยาวและหนัก ที่สำคัญคือมันหดหู่ ผมชอบอ่านแอนนิมัลฟาร์มมากกว่าเพราะมันตลก แต่ถ้าจะพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน หนังสือ 1984 ตรงมากกว่าเท่านั้นเอง


-ชอบมากสุดเล่มไหน

ตอบยากผมไม่เคยจัดอันดับแต่ก็นึกถึงนิยายคดีโลกบาทหลวงบราวน์ของสำนักพิมพ์รหัสคดี(FatherBrownby G.K. Chesterton) เพราะผู้แต่งสอดแทรกแนวคิดทางการเมืองและศาสนาของเขาลงไปในเรื่องนักสืบได้ดี ผมชอบมากกว่าเชอร์ล็อค โฮล์มส์ แต่ถ้าพูดถึงแนวการเมืองก็แอนนิมัลฟาร์ม ผมชอบมากกว่า 1984 เพราะอย่างน้อยมันตลก และไม่หดหู่มากนัก เพราะทำให้เป็นเรื่องของสัตว์ ก็พอจะมองเป็นเรื่องขำขันได้


-ภาพยนตร์เรื่องโปรด

ไม่เคยจัดอันดับแต่ที่พอนึกออกก็เลอมิสเซอราฟเพราะสะท้อนอะไรหลายอย่างผมเคยคิดจะเปิดเพลงดูยูเฮียร์เดอะพีเพิลซิงในวันนั้นแต่คิดว่าคนอาจจะรู้จักน้อยกว่าจึงเปิดเพลงชาติฝรั่งเศสไปส่วนฮังเกอร์เกมส์ก็ดูแต่ไม่ได้ชอบมาก ถ้าภาค 3 เข้าก็จะไปดูในโรงหนัง


-ทุกวันนี้มีความสุขไหม

มันก็พอจะมีอยู่บ้างสิ่งที่เราทำได้ก็คือดูหนังฟังเพลงเดินห้างส่วนข่าวการเมืองเราก็ดูไปแล้วก็ยอมรับมันไปนอกจากนั้นก็ไปดูงานแมวไปเจอคนรู้จักก็มาทักทายสิ่งที่ทำได้วันนี้คือ "รอ"

เราในฐานะชาวพุทธก็บอกว่าความสุขอยู่ที่การปล่อยวาง เราก็ยอมรับว่าถึงจุดนี้เราทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เราก็ "รอ" รอมันไป สภาพอย่างนี้มันไม่อยู่ไปตลอดกาลหรอก ไม่ช้าก็เร็วทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทุกวันนี้ผมมีความสุขในระดับหนึ่ง ถ้าบ้านเมืองเข้าสู่สภาวะปกติผมจะมีความสุขมากกว่านี้ แต่ระหว่างนี้เราก็ตักตวงความสุขที่สามารถตักตวงได้ไปก่อน แล้วรอเวลาให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่สภาวะปกติ