โดย กฤษณา ไพฑูรย์
Sanook.com
เรามักได้ยินวงสนทนาของพรคคพวกเพื่อนฝูง กล่าววิพากษ์วิจารณ์กันทั้งแบบจริงจัง และแบบติดตลกว่า
"ประเทศไทยมีดีหลายอย่างมากมาย ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" ทำเลที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ศูนย์กลางที่ดี ในการทำมาค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ภัยธรรมชาติที่ร้ายแรง นาน ๆ จะเกิดขึ้นสักครั้ง แต่ถือว่าไม่รุนแรงมาก หากเปรียบเทียบกับหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก แต่"เสียอย่างเดียว"ที่มี"คนไทย"จริงหรือ ??
ง่าย ๆ สบาย ๆ คือ ไทยแท้ 100% จริงหรือ ??
และตอกย้ำมากขึ้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ในการอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง(พศส.) 2557 หลักสูตรความรู้เศรษฐกิจสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจัดขึ้น
มีประเด็นหนึ่งที่ฟังแล้วค่อนข้าง"จุก"หัวเราะไม่ออก
เพราะเหมือนถูก"ชก"ที่"รอยแผลเก่า"ด้วยการออกอาวุธทั้งหมัดศอกเข่า..ซ้ำแล้ว..ซ้ำอีก...อย่างก้มหน้า ยอมรับความเจ็บปวด !!
เมื่อ"นายฉัตรชัย บุญรัตน์" รองประธานกรรมการหอการค้าไทย หนึ่งในวิทยากรผู้มาบรรยายได้เล่าให้ฟังว่า...
ก่อนหน้านี้1สัปดาห์"นายเซ็ทซึโอะ อิอุจิ" อดีตประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ “เจโทร(jetro)”ประจำประเทศไทย และภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งเป็นองค์กรที่มีบทบาทในการส่งเสริมการค้าและการลงทุน และทำการวิจัยด้านเศรษฐกิจของภูมิภาค เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และในภูมิภาค
ได้กล่าววาทะทิ้งท้ายในโอกาสที่ได้พบปะกับภาคเอกชน นักลงทุนของไทย ก่อนที่นายอิอุจิจะเกษียณอายุ และบินกลับไปประเทศญี่ปุ่น เมื่อสิ้นเดือนกรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา
โดยวาทะเด็ดได้กล่าวถึง "10 จุดอ่อนของไทยในสายตาของนักลงทุน"
1.คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำ โดยเฉพาะหน้าที่ต่อสังคม
2.การศึกษายังไม่ทันสมัยทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติ
3.มองอนาคตไม่เป็นโดยคนไทยมากกว่า70%ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวัน
4.ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำแบบผักชีโรยหน้า หรือทำด้วยความเกรงใจ
5.การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ โดยประชากรประมาณ 60-70%ที่อยู่ห่างไกล จะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเอง และชุมชน
6.การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็ง และดำเนินการไม่ต่อเนื่อง
7.อิจฉาตาร้อน สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ
8.เอ็นจีโอค้านลูกเดียว เอ็นจีโอ บางกลุ่มอิงอยู่กับผลประโยชน์
9.การสร้างความน่าเชื่อถือบนเวทีการค้าโลกยังไม่มี ขาดทีมเวิร์คที่ดี
10.เลี้ยงลูกไม่เป็น ทำให้เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นเด็กขี้โรคทางจิตใจ
สิ่งที่นายอิอุจิกล่าวถึงถือว่า"ไม่ใช่ปกตินิสัย"ของนายอิอุจิ หรือคนญี่ปุ่นระดับบริหารที่จะพูดเรื่องอย่างนี้ !!!
อาจจะเพราะนายอิอุจิเกษียณแล้ว และจะกลับบ้าน เลยขอวิจารณ์คนไทย....ด้วยความผูกพันที่อยู่เมืองไทยมานานหลายปี
อย่างที่พูดกันว่า"คนเราถ้าไม่รักกัน ก็ไม่เตือนหรอก"..."ถ้าไม่รักกัน แม้แต่หน้า ยังไม่อยากมอง"
เหตุใดจึงกล้ากล่าวเช่นนี้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้เปิดเผยถึงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 (มกราคม-มิถุนายน 2557) ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 534 โครงการ เงินลงทุนรวม 337,400 ล้านบาท โดยโครงการปรับลดลง 34.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
"นักลงทุนจากญี่ปุ่นเป็นกลุ่มที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงสุด"จำนวน 194 โครงการ เงินลงทุน 80,492 ล้านบาท สหรัฐอเมริกามีจำนวน 15 โครงการ เงินลงทุน 36,681 ล้านบาท เกาหลีใต้มีทั้งสิ้น 21 โครงการ เงินลงทุนรวม 13,567 ล้านบาท จีนมีจำนวน 9 โครงการ เงินลงทุน 9,434 ล้านบาท
จึงเห็นได้ว่า ไม่ว่าบ้านเมืองของไทยจะเป็นอย่างไร การเมืองจะทะเลาะกัน แตกแยกรุนแรงแค่ไหน ความน่าเชื่อถือในด้านการลงทุนสั่นคลอน ฝรั่งหัวแดงอย่างอเมริกา และยุโรปส่ายหน้า และถึงกับออกประกาศไม่คบหา ทำมาค้าขายกับประเทศไทยเมื่อมีการทำ"รัฐประหาร"เกิดขึ้น แต่ญี่ปุ่นยังเชื่อมั่น และมั่นใจที่จะลงทุนในประเทศไทย
ดังนั้น สิ่งที่นายอิอุจิกล่าว แม้พวกเราจะเจ็บปวด...แต่"ต้องยอมรับความจริง และหาทางแก้ไขทั้ง 10 จุดอ่อน"ก่อนจะสายเกินเยียวยา !!
เพราะตอกย้ำมากขึ้นไปอีก เมื่อสถาบันการจัดการนานาชาติ (IMD– World Competitiveness Yearbook)ได้ทำการวิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขันของไทยปี 2557 เปรียบเทียบปี 2556 พบว่า ประเทศไทยจากที่เคยอยู่อันดับที่ 29 ได้ตกลงจากเดิมมาอยู่ลำดับที่ 27 จากการจัดอันดับทั้งหมด 60 ประเทศ ขณะที่ความสามารถในการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจลดลงจากที่เคยอยู่ในอันดับที่ 12 หล่นลงมาอยู่อันดับที่ 9
การที่บางคนไปกล่าวดูถูกประชาชนของประเทศเพื่อนบ้านที่มาใช้แรงงานในประเทศไทย ทั้งเมียนมาร์ ลาว กัมพูชา เวียดนามว่า เขาด้อยกว่าเรา...คงไม่ใช่แล้ว เพราะวันนี้เพื่อนบ้านเหล่านี้กำลังพัฒนา...และกำลังจะวิ่งแซงหน้าไทย แบบหายใจลดต้นคอ ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้
จึงถึงเวลาแล้วที่คนไทยต้อง"ทบทวน"ตัวเอง อย่างคำโบราณว่า "ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา" หรือ“ส่องกระจก ดูเงาของตัวเอง"บ้าง
"ปิดจุดอ่อน"ให้ได้มากที่สุด แม้จะทำไม่ได้ทั้ง 10 ข้อ แต่เริ่มได้ทันที โดยแก้ไขจากตัวเอง ครอบครัว ก่อนจะขยายไปแก้ไข"บ้าน"ใหญ่ของเรา"ประเทศไทย"
เรามักได้ยินวงสนทนาของพรคคพวกเพื่อนฝูง กล่าววิพากษ์วิจารณ์กันทั้งแบบจริงจัง และแบบติดตลกว่า
"ประเทศไทยมีดีหลายอย่างมากมาย ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" ทำเลที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ศูนย์กลางที่ดี ในการทำมาค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ภัยธรรมชาติที่ร้ายแรง นาน ๆ จะเกิดขึ้นสักครั้ง แต่ถือว่าไม่รุนแรงมาก หากเปรียบเทียบกับหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก แต่"เสียอย่างเดียว"ที่มี"คนไทย"จริงหรือ ??
ง่าย ๆ สบาย ๆ คือ ไทยแท้ 100% จริงหรือ ??
และตอกย้ำมากขึ้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ในการอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง(พศส.) 2557 หลักสูตรความรู้เศรษฐกิจสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจัดขึ้น
มีประเด็นหนึ่งที่ฟังแล้วค่อนข้าง"จุก"หัวเราะไม่ออก
เพราะเหมือนถูก"ชก"ที่"รอยแผลเก่า"ด้วยการออกอาวุธทั้งหมัดศอกเข่า..ซ้ำแล้ว..ซ้ำอีก...อย่างก้มหน้า ยอมรับความเจ็บปวด !!
เมื่อ"นายฉัตรชัย บุญรัตน์" รองประธานกรรมการหอการค้าไทย หนึ่งในวิทยากรผู้มาบรรยายได้เล่าให้ฟังว่า...
ก่อนหน้านี้1สัปดาห์"นายเซ็ทซึโอะ อิอุจิ" อดีตประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ “เจโทร(jetro)”ประจำประเทศไทย และภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งเป็นองค์กรที่มีบทบาทในการส่งเสริมการค้าและการลงทุน และทำการวิจัยด้านเศรษฐกิจของภูมิภาค เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และในภูมิภาค
ได้กล่าววาทะทิ้งท้ายในโอกาสที่ได้พบปะกับภาคเอกชน นักลงทุนของไทย ก่อนที่นายอิอุจิจะเกษียณอายุ และบินกลับไปประเทศญี่ปุ่น เมื่อสิ้นเดือนกรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา
โดยวาทะเด็ดได้กล่าวถึง "10 จุดอ่อนของไทยในสายตาของนักลงทุน"
1.คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำ โดยเฉพาะหน้าที่ต่อสังคม
2.การศึกษายังไม่ทันสมัยทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติ
3.มองอนาคตไม่เป็นโดยคนไทยมากกว่า70%ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวัน
4.ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำแบบผักชีโรยหน้า หรือทำด้วยความเกรงใจ
5.การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ โดยประชากรประมาณ 60-70%ที่อยู่ห่างไกล จะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเอง และชุมชน
6.การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็ง และดำเนินการไม่ต่อเนื่อง
7.อิจฉาตาร้อน สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ
8.เอ็นจีโอค้านลูกเดียว เอ็นจีโอ บางกลุ่มอิงอยู่กับผลประโยชน์
9.การสร้างความน่าเชื่อถือบนเวทีการค้าโลกยังไม่มี ขาดทีมเวิร์คที่ดี
10.เลี้ยงลูกไม่เป็น ทำให้เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นเด็กขี้โรคทางจิตใจ
สิ่งที่นายอิอุจิกล่าวถึงถือว่า"ไม่ใช่ปกตินิสัย"ของนายอิอุจิ หรือคนญี่ปุ่นระดับบริหารที่จะพูดเรื่องอย่างนี้ !!!
อาจจะเพราะนายอิอุจิเกษียณแล้ว และจะกลับบ้าน เลยขอวิจารณ์คนไทย....ด้วยความผูกพันที่อยู่เมืองไทยมานานหลายปี
อย่างที่พูดกันว่า"คนเราถ้าไม่รักกัน ก็ไม่เตือนหรอก"..."ถ้าไม่รักกัน แม้แต่หน้า ยังไม่อยากมอง"
เหตุใดจึงกล้ากล่าวเช่นนี้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้เปิดเผยถึงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 (มกราคม-มิถุนายน 2557) ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 534 โครงการ เงินลงทุนรวม 337,400 ล้านบาท โดยโครงการปรับลดลง 34.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
"นักลงทุนจากญี่ปุ่นเป็นกลุ่มที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงสุด"จำนวน 194 โครงการ เงินลงทุน 80,492 ล้านบาท สหรัฐอเมริกามีจำนวน 15 โครงการ เงินลงทุน 36,681 ล้านบาท เกาหลีใต้มีทั้งสิ้น 21 โครงการ เงินลงทุนรวม 13,567 ล้านบาท จีนมีจำนวน 9 โครงการ เงินลงทุน 9,434 ล้านบาท
จึงเห็นได้ว่า ไม่ว่าบ้านเมืองของไทยจะเป็นอย่างไร การเมืองจะทะเลาะกัน แตกแยกรุนแรงแค่ไหน ความน่าเชื่อถือในด้านการลงทุนสั่นคลอน ฝรั่งหัวแดงอย่างอเมริกา และยุโรปส่ายหน้า และถึงกับออกประกาศไม่คบหา ทำมาค้าขายกับประเทศไทยเมื่อมีการทำ"รัฐประหาร"เกิดขึ้น แต่ญี่ปุ่นยังเชื่อมั่น และมั่นใจที่จะลงทุนในประเทศไทย
ดังนั้น สิ่งที่นายอิอุจิกล่าว แม้พวกเราจะเจ็บปวด...แต่"ต้องยอมรับความจริง และหาทางแก้ไขทั้ง 10 จุดอ่อน"ก่อนจะสายเกินเยียวยา !!
เพราะตอกย้ำมากขึ้นไปอีก เมื่อสถาบันการจัดการนานาชาติ (IMD– World Competitiveness Yearbook)ได้ทำการวิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขันของไทยปี 2557 เปรียบเทียบปี 2556 พบว่า ประเทศไทยจากที่เคยอยู่อันดับที่ 29 ได้ตกลงจากเดิมมาอยู่ลำดับที่ 27 จากการจัดอันดับทั้งหมด 60 ประเทศ ขณะที่ความสามารถในการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจลดลงจากที่เคยอยู่ในอันดับที่ 12 หล่นลงมาอยู่อันดับที่ 9
การที่บางคนไปกล่าวดูถูกประชาชนของประเทศเพื่อนบ้านที่มาใช้แรงงานในประเทศไทย ทั้งเมียนมาร์ ลาว กัมพูชา เวียดนามว่า เขาด้อยกว่าเรา...คงไม่ใช่แล้ว เพราะวันนี้เพื่อนบ้านเหล่านี้กำลังพัฒนา...และกำลังจะวิ่งแซงหน้าไทย แบบหายใจลดต้นคอ ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้
จึงถึงเวลาแล้วที่คนไทยต้อง"ทบทวน"ตัวเอง อย่างคำโบราณว่า "ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา" หรือ“ส่องกระจก ดูเงาของตัวเอง"บ้าง
"ปิดจุดอ่อน"ให้ได้มากที่สุด แม้จะทำไม่ได้ทั้ง 10 ข้อ แต่เริ่มได้ทันที โดยแก้ไขจากตัวเอง ครอบครัว ก่อนจะขยายไปแก้ไข"บ้าน"ใหญ่ของเรา"ประเทศไทย"