เรื่องซื้อของออนไลน์ที่รัฐมนตรี จิราพร สินธุไพร บอกว่าประชาชนร้องเรียนกันมามากกับ ‘แอพพลิเคชั่นช้อปปิ้งออนไลน์’ ว่าได้ของไม่ตรงปก หรือของมาเองไม่ได้สั่ง แม้ของเหล่านี้จะเก็บเงินปลายทาง แต่ต้องจ่ายก่อนเปิดกล่องอยู่ดี
ทางแก้ไขในมาตรการนี้อยู่ที่ให้ผู้ซื้อหรือผู้ได้รับสินค้า ถือเงินค่าสินค้าไว้เป็นเวลา ๕ วัน เพื่อดูว่าต้องการจะเก็บสินค้าไว้ใช้ถาวรหรือไม่ ก่อนตัดสินใจส่งเงินให้กับผู้ขาย ระเบียบกฎหมายใหม่นี้เรียกมาตรการนี้ว่า ‘ส่งดี’ หรือ Dee-Delivery
โดยปกติการซื้อของออนไลน์ในประเทศตะวันตก แม้แต่จำนวนมากซื้อสินค้าจากจีน (ปัจจุบัน แอ๊พ Temu กำลังยอดฮิต) น้อยนักที่จะเก็บเงินปลายทาง แต่ระเบียบการคืนของ แจ้งของชำรุด ของไม่ตรงปก อะไรต่างๆ ทำได้สะดวก
ผู้ซื้อไม่ต้องห่วงเรื่อจ่ายก่อน อาจเป็นเพราะระเบียบกำกับการซื้อขายมีประสิทธิภาพ ประเภทหลอกลวงซึ่งทำให้เกิดปัญหาในบ้านเรา “ไม่สามารถติดต่อผู้ขายได้ หรือติดต่อได้แต่ไม่ได้รับการแก้ไข” ไม่มี หรือแทบจะไม่ปรากฏ
อีกเรื่อง “ครม.ไฟเขียวหยุดให้สิทธิยกเว้นภาษีสินค้า ‘ดิวตี้ฟรี’ ในร้านค้าปลอดอากรขาเข้า ๘ สนามบิน” นานาชาติ ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ อู่ตะเภา สมุย และกระบี่ อ้างว่าผู้ค้าขานรับอย่างดี
“คาดหยุดขาย ๑ ปี กระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติจับจ่ายใช้สอยเงินในประเทศเพิ่ม ๕๗๐ บาท/คน/ทริป – เงินสะพัดตามร้านค้าแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มสูงสุด ๓,๔๖๐ ล้านบาท/ปี” อันนี้บ่องตงว่าไม่แน่ใจข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่อ้าง
ด้วยสามัญสำนึก ผู้ที่ซื้อของจากร้านดิวตี้ฟรีขาเข้า ก็เพราะ ‘ดิวตี้ฟรี’ ไง ถ้าต้องเสียภาษีก็คงต้องคิดดูอีกทีทั้งนั้น ว่ายังอยากได้ของชิ้นนั้นอยู่อีก จนต้องรอเข้าไปซื้อเสียภาษีข้างใน ว่ามั้ย เชื่อว่าสิ่งที่จะเสียไปก็คือมูลค่าขายสินค้าจากร้านดิวตี้ฟรีนั่นละ
สถิติของกรมศุลกากรบอกว่า ในปี ๒๕๖๖ “มียอดจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในร้าน Duty Free ขาเข้ารวมทั้งสิ้นเป็นจำนวน ๓,๐๒๑.๗๕ ล้านบาท” มันไม่ได้แปลงเป็นเงินสะพัดตามแหล่งท่องเที่ยวในประเทศ ๓ พัน ๔ ร้อยกว่าล้านอย่างแน่นอน
(https://www.facebook.com/ThaiPublica/posts/0215yEKsSuwby และ https://www.facebook.com/photo=898171465677407=a.352652053562687)
