รู้รู้กันมาตั้งแต่ครั้งเรือค้ามนุษย์โรฮิงญาโน่นแล้วว่า กระบวนการปราบปรามอาชญากรรมทางทะเล ไม่มีที่ไหนเน่าในเท่าของไทย กรณีเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน ๓ ลำล่องหนไปจากอุ้งมือตำรวจน้ำไทย เป็นอีกนาฏกรรมหาไหนเทียมทัน
ก่อนอื่นเรือที่มีน้ำมันเต็มหายไปจากท่าเทียบของตำรวจ ท่ามกลางคลื่นลมและหมอกฝนอย่างง่ายดาย ตามแล้วไม่เจอฉากหนึ่งละ ต่อมาตามไปเจอลอยลำอยู่รอยต่อน่านน้ำ ๓ ประเทศ หลังจากน้ำมั่นอันตรธานไปเกือบหมดก็อีกฉาก
นัยว่าชั้นเชิงการแล่นเรือทั้งสามซิกแซ็กย้อนรอยขึ้นเหนือแล้วลงใต้ ขนถ่ายขายน้ำมันฝั่งมาเลเซียให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยตามเจอ ฉากนี้ไม่ได้อลังการใดๆ เพียงแค่ปราณีตเล็กน้อย ซ้ำลูกเรือเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง และลำหนึ่งทาสีใหม่
ถึงแม้ต่อไปอาจสืบสาวให้เป็นรูปคดีได้ว่ามีเรืออะไร จากไหนมารับขนถ่ายน้ำมันเถื่อนหรือเปล่า นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเสียแล้ว เพราะสืบสาวกันมาได้ว่ากระบวนการมิจฉาชีพขนาดนี้ ต้องมีผู้สั่งการ จะเป็นทหาร ตำรวจ หรือจ้าวพ่อทรงอิทธิพลก็ตาม
“ความต้องการของผู้สั่งการไม่ได้อยู่ที่น้ำมันเถื่อน ๓ แสนกว่าลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันเถื่อนที่ไม่ต่างจากน้ำมันเขียว อยู่ที่ลิตร ๑๐-๑๒ บาท รวมมูลค่าน้ำมันทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ ๓-๔ ล้านบาทเท่านั้น” แท้จริงขบวนการนี้ต้องนำเรือไปขาย
ถ่ายน้ำมันออกหมดแล้วก็จัดการดัดแปลง สร้างเสริมใหม่ ขายต่อได้ราคาดีกว่า มิน่าจึงพบว่าเรือลำหนึ่งได้รับการทาสีใหม่เรียบร้อยโรงเรียนนายเรือ นับว่าตำรวจสอบสวนกลางสาวคดีได้ยาวพอควร กำลังเตรียมแถลงขั้นต่อไปอีก
ถึงอย่างนั้นทุกอย่างก็ การกระทำความผิดสำเร็จหมดแล้ว ได้ของกลางกลับมาส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้ตัวการ เพราะลูกเรือที่เหลืออยู่เพียงหางแถวไม่กี่คน ละครเรื่องนี้ต้องรอดูตอนจบว่า โจร แฮ้ปปี้เอ็นดิ้ง ดังคาดหรือไม่
และจะถึงไหนถึงกันดังรองผู้การสอบสวนกลางประกาศไว้ “เรื่องนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายถูกกลุ่มอิทธิพลล้วงคองูเห่า เรายอมไม่ได้ ยังไงเราก็ต้องสู้” ด้วยไหม