เหมือนจะป็นคลื่นใหญ่ใต้น้ำนะนี่ การเมืองไทยภายใต้ศาลรัฐธรรมนูญ ‘พ่องทุกองค์กร’ ไหนจะคดีที่ ๔๐ สว.ชงปลดเศรษฐา จากตำแหน่ง (นายก) รัฐมนตรี กับคดียุบพรรคก้าวไกล ที่ กกต.ชงผิดสูตร แบบแอบเพิ่มข้อหา
แล้วยังคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้ง สว.๖๗ แบบพิศดาร ที่มีคำร้องว่า “ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๐๗ หรือไม่” ซึ่งศาลฯ เห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และมีพยานหลักฐานเพียงพอสำหรับวินิจฉัยแล้ว ทั้งหมดนัดฟังแถลงวันที่ ๑๘ มิถุนา
ส่วนอีกเรื่องไม่เกี่ยวศาล รธน. แต่ก็เป็นคดีอื้ออึงอยู่ในมืออัยการสูงสุด นัดแจ้งคำฟ้องความผิด ม.๑๑๒ ต่อ ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องเลื่อนออกมาเป็นวันที่ ๑๘ ก็เพราะ พอดิบพอดีทักษิณเกิดป่วยโควิดเสียนี่ ระหว่างป่วยก็เลยมีเวลาเตรียมสู้คดี
“มีการยื่นขอความเป็นธรรมอีกครั้ง สาระสำคัญสรุปว่า คณะกรรมการสอบสวนขณะนั้น ถูกข่มขู่จากรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จนขาดความเป็นอิสระในการรวบรวมพยานหลักฐานทางคดี” จึงขอให้ อสส.ทบทวนคำฟ้องอีกที
เรื่องข้อหาต่อทักษิณนี่เห็นมีคนเม้นต์ว่าเจ้าตัวไม่ค่อยยี่หระเท่าไร ยังเดินสายการเมืองตามปกติ นัยว่าข้อต่อสู้มีน้ำหนักมากกว่าคำฟ้อง อะไรทำนองนั้น ฉะนั้นคงต้องดูพรุ่งนี้ (๑๘ มิถนา) ทั่นจะหายป่วยทันไปรับฟังคำฟ้องหรือไม่
คดีที่แรงจริงเห็นจะเป็นสองคดีที่กล่าวถึงข้างต้น ว่าศาลฯ จะจริงจังกับการปลดเศรษฐาแค่ไหน ที่ผ่านมาดูเหมือนจะเนือยๆ อยู่นะ โดยเฉพาะอาจจะเห็นด้วยกับข้อต่อสู้ที่ว่า พิชิต ชื่นบาน บุคคลต้นเรื่องก็ชิงลาออกไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
อีกคดีที่ กกต.เป็นคนชงดูท่าทีมุ่งมั่นมาก เนื่องจากเจอผู้ต้องหางัดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายมาป่าวประกาศต่อประชาชน ไม่ยอมให้ศาลฯ กับ กกต.งุบงิบกันง่ายๆ ทำไปทำมาดั่งว่าจะไปทางโอละพ่อ แต่ กกต.ไม่ย่นย่อ เถียงคำไม่ตกฟาก
แต่ข้อถกเถียงมีแค่ “เราทำตามกฎหมาย เราทำเพื่อประชาชน” ซึ่งตอแหลทั้งขึ้นทั้งล่อง ข้อหลังนี่ใครๆ ก็เห็นชัดเจน แต่ข้อแรกสิ กกต.แถกไปน้ำขุ่นๆ ต้องดูจากที่ อจ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อธิบายว่า ข้อหาเดิม ๙๒(๑) มันไม่สะเด็ด
กกต.แอบยัดข้อหา ๙๒(๒) เข้าไปโดยไม่แจ้งผู้ถูกร้อง เพื่อเขาจะได้แก้ข้อกล่าวหาและนำหลัฐานมาคัดง้าง มันผิดระเบียบวิธีพิจารณาความ แบบนี้อัยการขืนสั่งฟ้องดันไปแถไถ “ศาลจะต้องตีตกไม่รับพิจารณา” จะให้ตัดสินคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้อย่างไร
(https://x.com/lo6dfu8jt/status/1801938470601994417 และ https://www.khaosod.co.th/politics/news_777777779035)