มีคนอยู่เหนือหัวพวกนี้ตัดสินไว้แล้ว
เพราะเขา “ไม่โอเคให้พิธาขึ้นถึงระดับ (นายกฯ) นั้น”
นั่นเป็นแนวคิดแบบ ‘สโมสรสมมุติ’ หรือนัยหนึ่งเทียบเคียงได้กับ ‘Metaphysics’
ซึ่งถึงจะไม่เชื่อ ก็ ‘อย่าได้ลบหลู่’ จึงต้องหันไปดูตามข้อเท็จจริงอันประจักษ์
ซึ่งก็คือ กกต.ไม่รับคำร้องที่ว่า “มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ”
เนื่องจาก ๓ นักร้องยื่นช้าไป เกินเวลาที่ กกต.จะสามารถสั่งรับคำร้องได้ จึงไพล่ไปอ้างแทนว่า
คำร้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและพฤติการณ์พอควร
และมีหลักฐานเพียงพอเอาไปต่อยอดสืบสวนสอบสวน ให้เข้าข่าย ม.๔๒(๓) และ ม.๑๕๑ แห่ง
พรป.ส.ส.ได้
ทำให้มีการนำไปเปรียบเทียบกับคดีเดิมของ
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ผิด แล้ว กกต.รับลูกไปฟ้องอาญา ม.๑๕๑
เพื่อลงโทษฐาน “รู้ว่าไม่มีสิทธิ แล้งยังฝืนลงเลือกตั้ง” แต่กับคดีของพิธา งานนี้
กกต.โลดโผน ตีลังกากลับหัวกลับหาง
ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่อาจตัดสินพิธาผิดได้
เพราะ กกต.ไม่รับฟ้องนักร้อง แต่ กกต.ก็ชงให้ศาลอาญาจัดการ ประหนึ่งว่า
กกต.ตัดสินไปก่อนแล้วให้ผิด มันออกอาการชัดแจ้งว่าหาเรื่องฟันพิธาให้จงได้
ต้องฟังคุณคนนี้ที่ออกคลิป ‘ติ๊กต็อก’
แกพูดกินใจ
คุณแกท้าวความประเด็นต่างๆ ฟังแล้วอ๋อ
โดยเฉพาะ “กรณีหุ้นสื่อของคุณพิธาเบากว่ากรณีหุ้นสื่อของคุณธนาธรมาก คุณธนาธรถือหุ้น
๑๕ % แต่คุณพิธาถือ ๐.๐๐๓๕ % กิจการไอทีวีของคุณพิธาปิดเด็ดขาดกว่ากิจการวีลัคของคุณธนาธร
อีกทั้งคุณพิธายังถือหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดก
ไม่ได้ถือหุ้นในฐานะตัวเอง และพอคดีนี้เป็นคดีอาญา
มาตรฐานการพิสูจน์ของคดีอาญาสูงมาก ผู้ฟ้องต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนอย่างแจ่มแจ้ง (ในระดับต้อง
‘สิ้นสงสัย’) ถึงจะเอาผิดผู้ถูกฟ้องได้”
แล้วยัง “ในกรณีที่แย่ที่สุด
ถ้าอัยการดำเนินคดีกับคุณพิธาจริง แต่คดีอาญาต้องสู้กันถึงสามศาล
น่าจะใช้เวลาสู้กันอีกนาน เผลอๆ คุณพิธาจะหมดวาระสี่ปีก่อนคดีจบลงก็ได้” อีกอย่าง “กระแสการต่อต้านการกลั่นแกล้งคุณพิธาและพรรคก้าวไกล
น่าจะรุนแรงกว่าตอนนี้อีก” เยอะเลย
