อีกหนึ่งคดีเกี่ยวกับการละเมิดสถาบันกษัตริย์ ที่ควรบันทึกไว้เพื่อการปฏิรูปในวันข้างหน้า เป็นข้อหามาตรา ๑๑๐ ว่า #ประทุษร้ายเสรีภาพพระราชินี “ศาลอาญาพิพากษา #ยกฟ้อง ทุกข้อกล่าวหา” ทั้งที่ไม่ควร ‘รับฟ้อง’ ตั้งแต่แรก
เหตุเกิดเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ “ระหว่างการชุมนุม #ม็อบ14ตุลา ของ ‘คณะราษฎร 63’ ราว 17.00 น....บริเวณถนนพิษณุโลก ด้านหน้าของทำเนียบรัฐบาล มีกลุ่มผู้ชุมนุมรวมตัวกันจำนวนหนึ่งเพื่อรอคอยขบวนใหญ่ที่กำลังเดินทางมา”
พลันก็มีขบวนเสด็จของราชินีสุทิดาและเจ้าฟ้าทีปังกรผ่านเข้าไปในบริเวณชุมนุม จึงเกิดการชุลมุนผู้ชุมนุมห้อมล้อมรถขบวนเสด็จฯ เพราะประชาชนในบริเวณนั้นเข้าใจว่าจะมีการสลายชุมนุม “จึงได้ตะโกนโห่ร้องและชูสามนิ้วเพื่อประท้วงตำรวจ
ไม่ใช่ประท้วงต่อขบวนเสด็จ” ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า “จากการสืบพยานพบว่าความเข้าใจของผู้อยู่ในเหตุการณ์ไม่เท่ากัน แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ คฝ.ในที่เกิดเหตุ ก็เพิ่งทราบว่าจะมีขบวนเสด็จ และไม่ทราบว่าเป็นขบวนเสด็จของพระองค์ใด
...เมื่อประชาชนทราบว่าเป็นขบวนเสด็จ ก็เคลื่อนผ่านไปได้ ไม่ได้มีการขว้างปาสิ่งของหรือขัดขวาง” แต่หลังจากนั้นมี ‘ช่างฟ้อง’ สองคนแจ้งข้อกล่าวหา คำว่า “ประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินี” แปลเป็นภาษาไทยระดับชาวบ้านน่าจะได้ความว่า
ทำให้พระราชินีและราชโอรสขวัญกระเจิง ประมาณนั้น นอกเหนือจาก “มั่วสุมกันโดยใช้กำลังประทุษร้ายทำให้เกิดการวุ่นวายในบ้านเมือง” ซึ่งฟังแล้วไตร่ตรองด้วยหลักการกฎหมายในมาตรฐานสากล จัดว่าเป็นข้อหาที่ระห่ำเกินควร
คดีนี้อัยการสั่งฟ้องเมื่อ ๓๑ มีนา ๖๔ มีการสืบพยาน ๑๖ ครั้งระหว่าง พฤศจิกา ๖๕ ถึงมีนา ๖๖ แล้วมาพิพากษาเมื่อวาน ๒๘ มิถุนา ผู้ถูกกล่าวหา ๕ คนเสียทั้งเวลาและสันติภาพจากการถูก ‘นิติปฏัก’ ปักหลังมาตลอดสองปี
ในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยจริงจัง ไม่ควรมีสิ่งนี้เกิดขึ้น หรือถ้ามีก็สามารถฟ้องกลับเรียกค่าเสียหายจากผู้แจ้งความทั้งสอง และกรมอัยการได้
(https://tlhr2014.com/archives/57015 และ https://tlhr2014.com/archives/56935)