พบกัมมันตรังสีที่ปราจีนบุรี เกิดจากโรงงานถลุงเหล็ก อ.กบินทร์บุรี ไม่น่าจะขนาด ‘แชร์โนบิล’ ในเมื่อไม่ใช่โรงถลุงปรมาณูระเบิด (หรือแม้แต่แค่รั่ว) แบบรัสเซีย แต่ผลของอุบัติการณ์ในไทยจะกระทบไปไกลถึงร้อย พันกิโลเมตรได้เหมือนกัน
จาก #เรื่องเล่าเช้านี้ (๒๐ มีนา) “แพทย์ยกเคสต่างประเทศ เผยหากซีเซียม-137 โดนหลอมจะกระจายเป็นไอ ปลิวตามลมไกลหลักร้อยถึงพันกิโลเมตร ทำร้ายสิ่งมีชีวิตได้ทั้งการสัมผัสโดยตรง การกิน และการหายใจ ก่อมะเร็งเม็ดเลือดขาวและไทรอยด์”
ขณะเขียนเช้านี้ “รณรงค์ นครจินดา ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีเปิดเผยว่า ไม่ปฏิเสธว่าซีเซียม-137 ถูกหลอมจริง...และกันพื้นที่ไม่ให้ประชาชนเข้าใกล้โดยรอบโรงงานแล้ว” ซึ่งช่วยอะไรไม่ได้มาก เนื่องจากกัมมันตรังสีเข้าสู่อากาศแล้ว
ก็ยังดีที่ลงมือจัดการปัญหา ขณะ “อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมยอมรับว่าซีเซียม ๑๓๗ นั่นมาจากการถลุงเศษเหล็กปนแร่กัมมันตรังสี” จุลพงษ์ ทวีศรี อธิบายว่า “เวลาเผา แร่กัมมันตรังสีกับอลูมิเนียมจะมีจุดละลายต่ำกว่าเหล็กอยู่แล้ว”
ตอนที่คณะเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจโรงงานที่กบินทร์ฯ ไม่ปรากฏเหล็กหลอมที่มีกัมมันตรังสีเหลืออยู่เลย ก็แสดงว่ากลายเป็น ‘ฝุ่นแดง’ ลอยปนอยู่ในบรรยากาศไปหมดแล้ว คุณ Somros MD Phonglamai ไปค้นคว้ามาเผยแพร่ยืนยันเพิ่มว่า
“เหตุการณ์ที่ Chernobyl พบว่า Cesium-137 ปลิวไปถึงสวีเดน 1,000 กิโลเมตร... Cesium-137 จะสะสมในดิน น้ำ อาหาร ทำให้เกิดผลเสียต่อสัตว์และมนุษย์ ปลา นก ไก่ หมู หมา แมว วัว ฯลฯ อนุภาคบีต้าและรังสีแกมมาจะทำลาย DNA”
ที่สำคัญรังสีซีเซี่ยมนี้ “จะใช้เวลาในธรรมชาติไม่ต่ำกว่า 100 ปีจึงจะสลายหมด...คนที่คิดว่าเสี่ยงต่อการสัมผัส Cesium-137 ควรเฝ้าระวังเร่งด่วน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ผิวหนังไหม้โดยไม่ทราบสาเหตุ” และ
“รัฐควรเก็บบันทึกข้อมูลอย่างโปร่งใส มีโอกาสที่คนจะสัมผัสปริมาณมาก ยิ่งคนที่อยู่ใกล้ในระยะ ๕-๑๐ เมตร น่าจะอันตรายมาก” สุดเศร้าเมื่อเหตุมาเกิดตอนหัวเลี้ยวหัวต่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาล (ของเก่าน่าจะไปแน่ แต่ของที่จะมาใหม่ ยังไม่รู้ลูกผีหรือลูกคน)
(https://www.facebook.com/search/top?q=somros%20md%20phonglamai และ https://twitter.com/MorningNewsTV3/status/1637622798863732738)