วันพุธ, มีนาคม 01, 2566

แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ เข้าตรวจ “ตะวัน-แบม” หลังปักหลักอดข้าวหน้าศาลฎีกา ชี้ทั้งสองอ่อนเพลีย-ขาดน้ำ หากเกิดสภาวะวิกฤต สามารถส่งตัว รพ. ที่ใกล้ที่สุด ได้ตลอด 24 ชั่วโมง



ไข่แมวชีส
11h
แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ เข้าตรวจ “ตะวัน-แบม” หลังปักหลักอดข้าวหน้าศาลฎีกา ชี้ทั้งสองอ่อนเพลีย-ขาดน้ำ หากเกิดสภาวะวิกฤต สามารถส่งตัว รพ. ที่ใกล้ที่สุด ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 15.00 น. พลตำรวจตรี อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 พร้อมด้วยทีมแพทย์กลุ่มงานศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ เดินทางไปแสดงความจำนงค์ขอตรวจร่างกาย นางสาว ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน และนางสาว อรวรรณ ภู่พงษ์ หรือ แบม สองนักกิจกรรมทางการเมืองที่ทำกิจกรรม ‘นอนปักหลักอดอาหารหน้าศาลฎีกา ฝั่งประตูที่ 3 ถนนราชดำเนินใน มาตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา
พันตำรวจตรี นายแพทย์ ปีเฉลิม พิสนุแสน นายแพทย์ (สบ.2) กลุ่มงานศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ เปิดเผยว่า ทีมแพทย์ประเมินแล้วว่า ทั้งสองอยู่ในขั้นวิกฤต และผลเลือดมีค่าความเป็นกรดสูง มองว่าถ้าปล่อยให้ทั้งสองอดอาหารต่อไปเสี่ยงต่อการมีภาวะไตวาย ตับวาย ทุพพลภาพ ดังนั้นทีมแพทย์จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงเดินทางมาเพื่อดูว่าจะช่วยเหลือทางการแพทย์อย่างไรได้บ้างเพื่อให้ทั้งสองคนมีสุขภาพที่ดีขึ้น และหากทั้งคู่ประสงค์เดินทางไปโรงพยาบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยินดีที่จะอำนวยความสะดวก
ในเบื้องต้นจากการประเมินผ่านภาพที่เผยแพร่ทั้งคู่มีความอ่อนเพลียประมาณร้อยละ 50 เท่าที่มองขณะนี้อยู่ในภาวะฉุกเฉินเพราะไม่สามารถเคลื่อนไหวด้วยตัวเองได้ จึงประเมินเบื้องต้นว่าร่างกายทั้งสองคนไม่สามารถรับไหว ต้องเข้ากระบวนการรักษา เจ้าหน้าที่ไม่บังคับว่าทั้งสองจะต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ หากประสงค์ไปโรงพยาบาลใดก็พร้อมประสานงานให้ แต่ถ้าอยู่ในขั้นวิกฤตแล้วต้องไปที่โรงพยาบาลใกล้ที่สุด
ด้าน นายกฤษฎางค์ นุตจรัส หรือ ทนายด่าง ทนายความ ระบุว่า ทั้งสองคนต้องการทราบเหตุผลว่าเป็นแพทย์จากหน่วยงานใดและได้รับอนุมัติจากทั้งสองให้เข้าตรวจร่างกายหรือยังเพราะ ทั้งสองมีสิทธิในร่างกายของตัวเองซึ่งเป็นสิทธิส่วนบุคคล
พันตำรวจตรี นายแพทย์ ปีเฉลิม ตอบว่า ทีมแพทย์มาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหน้าที่ดูแลประชาชนทุกมิติ การเข้าไปตรวจร่างกายในวันนี้จะขออนุญาตก่อน จะไม่ทำโดยพลกาลและหากไม่ได้รับอนุญาต ทางทีมจะไม่เข้า และจะขอให้ทนายเป็นผู้ประสานให้
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามทนายความว่าปัจจุบันอาการป่วยของตะวัน และแบมมีผู้มาดูแลให้หรือไม่ กฤษฎางค์กล่าวว่า อาการแต่ละวันมีการตรวจอยู่แล้วแต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้แต่ส่วนตัวอยากให้ทั้งสองกลับเข้าสู่กระบวนการรักษา
ในเวลาต่อมา นายกฤษฎางค์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ตะวันและแบมยินยอมให้ทีมแพทย์เข้าไปตรวจสอบอาการเบื้องต้น แต่อนุญาตให้เข้าไปเพียงแค่ 1 คนเท่านั้น ไม่ยินยอมที่จะให้เจาะเลือด วัดความดัน หรือทำหัตถการใดๆ เพราะว่าพอมีประสบการณ์จากหมอที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ในการดูแลตัวเองเบื้องต้นแล้ว ส่วนสาเหตุที่ยอมเพราะว่าเห็นว่า แพทย์มีน้ำใจเข้ามาตรวจ แต่ไม่ต้องการเดินทางไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
หลังจากแพทย์ตรวจอาการ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30 นาที นายกฤษฎางค์ เปิดเผยว่า ตนขอเป็นคนรายงานอาการป่วยแทน เนื่องจากแพทย์ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลผู้ป่วยได้เพราะเป็นหลักจรรยาบรรณแพทย์ ตนในฐานะญาติจึงขอทำหน้าที่ ทั้งนี้แพทย์ได้ให้ความรู้การดูแลผู้ป่วย ว่าไม่ควรอดอาหารต่อเนื่องจากมีอาการอ่อนเพลีย ขาดน้ำ อาการแต่ละวันจะไม่คงตัวเนื่องจากเป็นลักษณะของอาการขาดสารอาหาร แต่ว่ายังมีการรับรู้ โต้ตอบได้
นายกฤษฎางค์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาตนเองและครอบครัวแนะนำตะวันและแบมว่า ให้พิจารณาวิธีการต่อสู้เห็นความสำคัญชีวิตตัวเอง จากที่พูดคุยทั้งสองมีท่าทีสบายใจขึ้นหลังจากมีกระแสข่าวว่าจะสลายจุดที่ทำกิจกรรม ทั้งนี้ทีมแพทย์จากการตรวจเยี่ยมไปประเมินเพื่อเตรียมเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อเตรียมความพร้อมการรักษาในอนาคต
“หากทั้งสองเข้าสู่สภาวะวิกฤตสามารถประสานโรงพยาบาลตำรวจได้ตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อส่งไปที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด แต่ถ้าอยู่ในจุดฉุกเฉินสามารถร้องขอเฮลิคอปเตอร์ให้มารับตัวได้” นายกฤษฎางค์ กล่าว
ด้าน พลตำรวจตรี อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยว่า ตำรวจประสานความร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร โดยมีสำนักงานเขตพระนครเข้ามาดูแลเรื่องความสะอาด กวาดขยะในพื้นที่ชุมนุม พค้อมกับยืนยันจะไม่การใช้กำลังเข้ามากดดันผู้ทำกิจกรรมแต่อย่างใด แต่มุ่งเน้นเรื่องการช่วยเหลือดูแลมากกว่า ส่วนที่มีผู้ไม่หวังดีเข้ามาสร้างสถานการณ์ ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบจัดกำลังเข้ามาดูแลเพิ่มเติมแล้ว
“สำหรับกรณีที่มีกระแสข่าวว่าเจ้าหน้าที่จะเข้าสลายการชุมนุมบริเวณดังกล่าวเนื่องจากมีการเขียนป้ายระบุข้อความหมิ่นศาล มีรายงานว่าเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนกันระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม เนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องการให้จุดพักของตะวัน และ แบมรวมถึงผู้ชุมนุมขยับไปที่ด้านหลังของอาคารศาลฎีกา เพื่อให้มีร่มเงา หลบแดดได้” พลตำรวจตรี อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 กล่าว

ไข่แมวชีส
9h
28กพ66ยืนหยุดขังศาลฎีกา
พิธา’ นำทีมก้าวไกล ร่วมยืนหยุดขัง ที่หน้าศาลฎีกา พร้อมให้กำลังใจ ‘ตะวัน-แบม’ ยกการต่อสู้ของทั้งคู่คือความกล้าหาญที่ควรค่าแก่การคาระวะ ขอศาลเร่งปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหาอีก 3 คน เพื่อยุติความทรมาน
วันนี้ (28 ก.พ. 66) เวลา 17:50 น. ที่หน้าศาลฎีกา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยสมาชิกพรรค ร่วมเข้าให้กำลังใจ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ น.ส. อรวรรณ ภู่พงศ์ 2 นักกิจกรรมที่อดอาหาร และน้ำที่บริเวณหน้าศาลฎีกา เข้าสู่วันที่ 41 พร้อมร่วมกิจกรรมยืนหยุดขัง เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหาคดีทางการเมือง
เมื่อนายพิธาเดินทางมาถึง ได้เข้าพูดคุยกับ นายนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และพ่อแม่ของตะวัน และแบม จากนั้นนายพิธาได้เข้าร่วมกิจกรรมยืนหยุดขัง ซึ่งไม่ได้เข้าเยี่ยมตะวัน และแบม เนื่องจากเป็นห่วงความปลอดภัย และกังวลว่าอาจจะนำเชื้อโรคเข้าไปติดทั้ง 2 คน
นายพิธา เปิดเผยว่า ตนอยากจะสื่อสารเพียงสั้นๆ ว่า ตอนนี้เหลือผู้ถูกกล่าวหาคดีทางการเมืองอีกเพียง 3 คน ที่ต้องติดคุกเป็นเวลานานทั้งๆ ที่ยังไม่มีคำพิพากษา รวมทั้งได้พูดคุยกับศูนย์ทนายฯ ว่าจะมีการบริหารจัดการอย่างไร ให้ 3 คนสุดท้ายได้สามัญสำนึกกลับมา ในเรื่องของนิติรัฐ และนิติธรรม
นายพิธา กล่าวต่อว่า มันมีคำที่ว่า ความยุติธรรมที่ล่าช้า จะกลายเป็นความอยุติธรรมไป ซึ่งใน 2-3 วันที่จะถึงนี้ ทำให้เห็นว่าคำดังกล่าวเป็นคำพูดที่มีน้ำหนักจริงๆ เพราะตนได้พูดคุยกับนายกฤษฎางค์ และพ่อแม่ของตะวัน กับแม่ของแบม จึงทราบถึงกระบวนการของผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 คน ที่จะทำให้ชีวิตของตะวัน และแบมไม่ต้องแขวนอยู่บนเส้นด้ายอีกต่อไป
อีกทั้งวันนี้ตนได้ติดตามข่าว ก็ทราบว่ามีแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมาตรวจเยี่ยมตะวันกับแบม ถึงแม้จะไม่ได้มีการวินิจฉัยอาการของทั้งคู่ แต่แพทย์ ของโรงพยาบาลตำรวจก็พูดเองว่าอาการแย่กว่าที่คิด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลจากเรื่องความยุติธรรมที่ล่าช้า พร้อมย้ำว่า เหลือผู้ถูกกล่าวหาเพียงอีก 3 คน ที่จะทำให้ยุติความทรมานของทั้งคู่ และประชาชนทุกคนจะได้มาช่วยกันปฏิรูปให้หลักนิติรัฐ และนิติธรรมกลับมาอีกครั้งนึง
ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 คนนี้ เป็นสามัญสำนึกพื้นฐานของระบบยุติธรรมที่ควรจะเป็น ว่าผู้ที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ต้องสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์ไว้ก่อน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เรานำมาใช้บีบบังคับกระบวนการยุติธรรม ซึ่งตนจะผสานงานกับทนายความ และครอบครัวของทั้ง 3 คนนี้ ให้ยุติลงด้วยดีโดยที่ไม่มีความสูญเสียจากใคร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าได้พูดคุยกับพ่อแม่ของตะวัน เป็นอย่างไรบ้าง นายพิธา ระบุว่า คุยกันในฐานะที่คุณพ่อคุยกับคุณพ่อ ซึ่งเขาก็เป็นห่วงสุขภาพของลูกสาวมากๆ เป็นเรื่องปกติ เพราะอดอาหาร และน้ำ รวมถึงปฏิเสธการรับการรักษา มานานกว่า 1 เดือน และต้องคอยติดตามทั้งเรื่องของชีพจร ค่าตับ และสีของปัสสาวะ ที่ถึงแม้ว่าจะได้รับการรักษาก็ไม่ใช่ว่าจะกลับมาดีได้ง่ายๆ ต้องใช้เวลาสักระยะนึงกว่าจะกลับมารับประทานอาหารได้ตามเดิม และเวลาก็เหลือน้อยลงเรื่อยๆ และไม่อยากให้เป็นการเอาชีวิต 3 คนมาแลกกับ 2 คน มันเป็นสิ่งที่ทรมานจิตใจของคนเกินไป
ส่วนกระบวนการยุติธรรม จะต้องคำพิพากษา และความอิสระให้กับผู้พิพากษา ทั้งเรื่องการสันนิษฐานผู้บริสุทธิ์ และการฝากขังที่เห็นว่ามีปัญหาอยู่ เพราะดุลยพินิจไม่ควรอยู่กับผู้พิพากษาเพียงคนเดียว รวมถึงคำพิพากษาไม่จำเป็นต้องอิงกับอธิบดีผู้พิพากษา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับประเทศของเรา
สำหรับการแสดงความห่วงใยต่อตัวตะวัน และแบมจากหลายฝ่ายนั้น นายพิธา กล่าวว่า จริงๆ ต้องถามหาความจริงจังจากผู้ใช้อำนาจ ทั้งตัวนิติบัญญัติ รัฐบาล และตุลาการ ในเรื่องของสิทธิมนุษยชน และอิสระในการพูด ว่าเป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นในประเทศ หากผู้ใช้อำนาจไม่เห็นว่าประชาชน เป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศ เกิดจะเกิดภาพนี้ซ้ำอีกเรื่อยๆ จนทำให้เกิดปัญหาที่ตัวระบบ
สำหรับการสิ่งที่ตะวัน และแบมกระทำนายพิธามองว่าเป็นความกล้าหาญที่ควรคาระวะ เพราะเป็นการเอาชีวิตมาต่อสู้เพื่อความถูกต้อง และความยุติธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่ควรที่จะเพิกเฉย ซึ่งตนมองว่าเป็นสิ่งที่ควรคาระวะต่อความกล้าหาญของเขา
เมื่อถามว่าอยากจะฝากอะไรถึงตะวัน และแบมหรือไม่ นายพิธา กล่าวอีกว่า ในฐานะที่เคยเป็นนายประกันใหักับตะวัน ก็ได้ฝากส่วนตัวไปแล้ว แต่หากให้พูดคงพูดได้แค่ว่า ทุกคนยังอยู่เคียงข้างเขา ซึ่งเคยได้พูดคุยกับทั้ง 2 คนสมัยเป็นนายประกัน จึงเข้าใจเจตนารมณ์ของเขาดี และเหลืออีกแค่ 3 คนก็จะได้กลับมารักษาตัว พร้อมยืนยันว่า ทั้ง 2 คน มีเจตนาที่บริสุทธิ์ และคงอยากใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นหนุ่มสาวธรรมดาของประเทศนี้เท่านั้นเอง
ข้อมูลโดย น้องไก่ทอด