วันศุกร์, เมษายน 03, 2563

"พี่จะเคอร์ฟิวไปเพื่อ (อะไร) เชื้อโรคเข้ากะดึกงี้เหรอ” #โคขวิด19 #ควายคิด๖๓


สมกับประกาศใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินจังเบย “เคอร์ฟิวทั่วประเทศ ห้ามประชาชนออกนอกเคหะสถาน ตั้งแต่ ๒๒.๐๐- ๐๔.๐๐ น.” @WassanaNanuam ใช้สำนวนเยาะหยัน “วันที่ใครบางคนรอคอย และเรียกร้องมานาน มาถึงแล้ว”

คือว่าพี่ทั่นทำในสไตล์นักยึดอำนาจโดยแท้ จากเบาไปหาหนัก หากว่าจากนุ่มๆ ไปสู่เร่งเร้า ดั่งท่วงทำนอง ‘Bolero’ ก็ไปอย่าง พอถึงจุดสุดยอดแล้วซาบซ่า แต่นี่ขยับทีละนิด ตอดติดทีละหน่อยครึ่งๆ กลางๆ โคโรน่ามันไม่รอหรอก

ฉะนี้วาสนาไม่ต้องมาเหน็บ อย่าทำเป็น ‘smart-arse’ คอยดูจำนวนเพิ่มของผู้ติด ผู้ตาย ที่ได้รับเชื้อเมื่อตอนก่อนสี่ทุ่มวันที่ ๓ เมษา หรือช่วงกลางวันตั้งแต่ตีสี่ถึงสี่ทุ่มทุกวันแต่นี้ไปก็แล้วกัน ข้อนี้ที่ ทราย เจริญปุระ จี้ไว้ใช่เลย
 
“ถ้าไม่ตรวจเพิ่ม ถ้าไม่หยุดงาน พี่จะเคอร์ฟิวไปเพื่อ (อะไร) เชื้อโรคเข้ากะดึกงี้เหรอ” เธอไม่น่าจะกนะหมายความ (literally) ว่ารัฐบาลเคอร์ฟิวเพื่อห้ามเชื้อ อย่างที่ อีเจี๊ยบ เลียบด่วน แซวหรอกนะ

จำนวนพวกที่ซ่านตอนดึกๆ ไม่ได้ติดเชื้อมากไปกว่าผู้คนที่โหนราวเรือด่วนแสนแสบตอนเช้าและเย็น แล้วถ้า บก.จีคิวจะหือต่อว่าเอาแต่ด่า ด่า ด่า รัฐบาล ลองอ่านละเอียดเสียบ้างว่าเขาพูดกันอย่างไร

แบบเดียวกับที่ อนุทิน ชาญวีรกูล ให้สัมภาษณ์ไว้กับ Thai Enquirer ยี่สิบนาฑี อวดกึ๋นรัฐมนตรีเต็มเปา ว่า “จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ๑๐๐ คนต่อวันนั้นนะ คนที่ไม่รอบรู้หาว่าเป็นข่าวร้าย แต่คนฉลาดจะบอกว่า โฮ้ยนี่ดีมาก เพราะประเทศอื่นๆ เขาเพิ่มมากกว่านี้เยอะ”
 
ลองฟังที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว พรรคเพื่อไทยตอบข้อซักถามของสำนักข่าว ไอเอ็นเอ็นสิว่า การเคอร์ฟิวสี่ทุ่มถึงตีสี่อาจช่วยลดการระบาดได้บ้าง แต่นั่น “เป็นช่วงเวลาที่ประชาชนไม่ค่อยได้มีการเดินทางหรือชุมนุมแออัดอยู่แล้ว

...เนื่องจากยังมีผู้ที่ต้องเดินทางทำงานกันอยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งเมื่อมีประกาศแล้วอาจจะทำให้ประชาชนเกิดการเร่งรีบในการกลับที่พักอาศัย จนทำให้เกิดความแออัด และอาจจะทำให้เกิดการแพร่เชื้อขึ้นมากกว่าเดิมได้”

นั่นคือเหตุผลแท้จริงสนับสนุนความหมายของทรายที่ว่า “โควิดหรือกระสือ” แล้ว ส.ส.จังหวัดน่านยังให้ข้อเสนอที่น่าฟังอย่างยิ่งว่า “ออกกฎหมายให้ทุกคนใส่หน้ากากอนามัย น่าจะเป็นผลดีมากกว่าการประกาศเคอร์ฟิว”


สิ่งซึ่งคนที่คิดแบบ บก.จีคิว ต้องรู้จักพิเคราะห์อยู่ที่ข้อเท็จจริงจากการออกมาบ่นของ หมอเวรนั้นคือความไม่ลงรอย หรือ ‘incohesive’ ในระหว่าง “ผู้ใหญ่ทั้ง ๓ ฝ่าย ไม่ลงรอยกันมาเป็นเวลายาวนานแล้ว จึงทำให้ประชาชนเห็นความขัดแย้งในด้านการจัดการ และการรับมือ”

หมอเวรลงรายละเอียดเป็นสิบๆ เรื่อง “ตั้งแต่การอมหน้ากากอนามัยแล้วยังหาตัวไม่ได้ กระทรวงนู้นบอกส่งออกหน้ากากจริง แต่อีกกระทรวงบอกไม่มี๊ไม่มี...เจ้าหน้าที่ต้องเย็บหน้ากาก เย็บชุด (PPE) เอง...ใครออกมาบอกว่าของขาด โดนสั่งลบโพสต์และโดนสั่งควบคุมความประพฤติทันที

...ศูนย์ตรวจ COVID-19 PCR เฉพาะกิจหลายที่โดนสั่งปิด ไม่ว่าจะเป็น Drive Thru หรือ Delivery เพราะทำเกินหน้าเกินตา...กรุงเทพชัตดาวน์ห้างร้านต่างๆ แต่ไม่ปิดทางเข้าออกเมือง ทำให้โรคแพร่ไปทั่วประเทศ สั่งไปก่อนโดยไม่คิดถึงแผนรับมือ”


และ “รัฐสั่งหยุดงานกะปริบกะปรอย อยากลดการแพร่ระบาดของโรค แต่ไม่กล้าบังคับภาคเอกชนให้หยุดทั้งหมด ตัวเลขมันเลยวิ่งอยู่ต่อเนื่อง” ฉันใดก็ฉันนั้น สั่งห้ามออกนอกบ้านยามที่มีแต่กระสือออกหากิน โควิดจะได้นอนพักหรือไร

แล้วที่ผู้บัญชาการทหารบกใส่ชุดมนุษย์อวกาศออกไปพ่นยาฆ่าเชื้อ พร้อมกับลูกน้องที่ไม่ต้องสวมชุดปกป้องอะไร ในวันเกิดของตนพอดี มีรูปลงข่าวเกร่อ มันเหมาะควรแล้วหรือ ในเมื่อคุณหมอจากกระทรวงสาธารณสุขผู้หนึ่งแจ้งไว้ในการแถลงข่าวเมื่อคืน

ว่า “ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปพ่นน้ำยา” Pravit Rojanaphruk เก็บมาฟ้องประชากรออนไลน์ว่า มีใคร “ไปบอก ผบ.ทบ.​#อภิรัชต์​ แล้วหรือยังเพราะการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในที่โล่งแจ้งนั่น ดีแต่จะทำให้เชื้อโรคฟุ้งกระจายนะทั่น #โคขวิด19 #ควายคิด๖๓