วันพุธ, มีนาคม 04, 2563

พฤษภานี้เจออีกแน่ เด็กจบใหม่ ๕ แสนคนจะตกงาน คงได้ชวนกัน 'ลงถนน'


ปัญหาเกี่ยวกับกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า #ผีน้อย นั่นมันไม่ควรจะเป็นปัญหาเลยแต่แรก “เขาเป็นคนไทย เสี่ยงอันตรายก็ย่อมอยากกลับบ้าน ประเทศไทยก็ควรต้อนรับ ความผิดอยู่ที่รัฐบาลไม่เคยรับรู้ว่าเขาอยู่อย่างไรกลับมาเมื่อไหร่ และไม่มีมาตรการรองรับ”

เป็นอย่างนั้นดัง จาตุรนต์ @chaturon ว่า ไม่เห็นจะต้องอ้างกฎหมงกฎหมายไม่มีระบุเรื่องนี้ ตอแหลสิ้นดี ล้มกฎหมายรัฐธรรมนูญมาแล้วสองครั้งสองครา มาทีนี้เกิดจะต้องทำตามกฎหมายเด๊ะขึ้นมาเชียว เฮียป้อมเฉไฉเพราะไม่รู้จะจัดการอย่างไรต่างหาก

ไม่เห็นจะยากเย็น ใครบ้างกลับมาจากเกาหลีใต้ตรวจไม่ได้เลยเชียวหรือ หาสถานที่ให้พวกเขาพักรอ (กักตัว) สักสองอาทิตย์ขณะที่จัดตรวจไปด้วย ใครตรวจผ่านก่อนก็ได้กลับบ้านก่อนเท่านั้นเอง แต่นี่ปัญหาจริงๆ ก็คือรัฐบาลไม่รู้สีสามากกว่า
 
การเตรียมรับมือหากเกิดการระบาดหนักแบบ Pandemic บกพร่องและไม่สมประกอบนั่นละคือปัญหา กระทั่งโรงพยาบาลและคณะแพทย์ที่จะต้องดูแลขจัดภัยของเชื้อไวรัสชนิดนี้ก็ยังขาดแคลนอุปกรณ์และเครื่องมือ เช่นที่ รพ.จะนะร้องเรียน

นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ เขียนบ่น “ถึงสถานการณ์การขาดแคลนหน้ากากอนามัยอย่างหนัก...มีการกำหนดโควตาการเบิก และหากหมดแล้วต้องดิ้นรนกันเอง โดยสต็อกที่เก็บไว้แทบจะไม่มีเหลือ” ขณะที่หน้ากากผ้าที่เฮฮากันว่าผลิตแทนได้ก็ “ประสิทธิภาพนั้นต่ำกว่ามาก”

อีกรายที่บ่นเช่นกันเป็นโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ออกแถลงเป็นลายลักษณ์อักษร “การจัดการระดับประเทศ ไม่มีการบูรณาการอย่างชัดเจน” ในเมื่อปัจจุบันโรงพยาบาลไม่สามารถจัดหาอุปกรณ์ ทางการแพทย์ที่จำเป็น เช่นหน้ากาก N95 ได้

โดยเฉพาะ “ชุดป้องกันการติดเชื้อสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ (และ) อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลในการดูแลผู้ป่วย เป็นต้น”


ด้วยความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลประยุทธ์ ๒ นี้เอง จะยิ่งทำให้ภาวะข้าวยากหมากแพงในประเทศจมปลักมากขึ้น แล้วผู้ที่ต้องรับผลเลวร้ายไม่พ้นประชาชนระดับทำมาหากิน
อ่านข่าวแม่ค้าข้าวแกงได้รับความกดดันจากการอาชีพ หันเข้าห้องปิดประตูแล้วผูกคอตาย ทิ้งลูกน้อย ๕ ขวบร้องระงม แล้วเลิกเศร้า แต่โกรธขึ้งรัฐบาลชุดนี้ที่คิดแต่จะครองอำนาจ ไม่ยี่หระกับทุกข์ยากของชาวบ้าน

การที่มีนักเรียนนักศึกษาออกมาประท้วงกันทั่วประเทศ นับเป็นโชคดีของรัฐบาลที่การแสดงความโกรธยังอยู่ในแวดวงของคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ คอยดูแล้วกันถ้าปัญหาการระบาดของไวรัส โควิด-๑๙ หนักกว่านี้ ความแร้นแค้นและกดดันของชาวบ้านจะระเบิดบ้าง

นี่ก็สภาองค์การนายจ้าง (อีคอนไทย) เพิ่งออกมาเตือนว่าพิษโคโรน่าจะ “ซ้ำเติมการจ้างงานของไทยในปี ๒๕๖๓ ให้ชะลอตัวลงไปกว่าเดิม โดยเฉพาะนักศึกษาจบใหม่ที่จะทยอยเข้ามาในระบบแรงงานเพิ่มเติมช่วงพฤษภาคมนี้ประมาณ ๕ แสนคน

จะมีโอกาสได้งานทำค่อนข้างต่ำ” นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาฯ แถลงว่ากิจการที่พัวพันการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านค้า สปา ร้านอาหาร ฯลฯ ล้วนกำลังเริ่มรัดเข็มขัดกันแล้ว เพราะ “นักท่องเที่ยวหายไปมากกว่า ๖๐%

แล้วยังอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องที่นักท่องเที่ยวจับจ่ายใช้สอย ได้แก่ การผลิตผ้าเช็ดตัว สบู่ สมุนไพร ค้าปลีก ค้าส่ง เหล่านี้ได้รับผลกระทบหมด จะหนักแค่ไหนอยู่ที่วิกฤตไวรัสโคโรน่าจบช้าหรือเร็วเท่านั้น ถ้าไม่เร็วจะรุนแรงกว่า ต้มยำกุ้ง


วิกฤตเศรษฐกิจปี ๒๕๔๐ ครั้งนั้นกินเวลาไม่ถึงปีก็ฟื้นได้ เนื่องจากเป็นปัญหาเฉพาะในสถาบันการเงิน ธุรกิจอื่นๆ เช่นการส่งออก การท่องเที่ยวยังแข็ง แต่ครั้งนี้ไม่มีอะไรดีๆ เหลืออยู่ หลังจากที่พวก คสช.นักยึดอำนาจที่ฝีมือบริหารไม่มี บั่นทอนกันมาห้าหกปี

จังหวะปะเหมาะหลังเดือนพฤษภานี้ ที่บัณฑิตจบใหม่ ๕ แสนคนกำลังจะหางานทำกันยาก ทั้งอัดอั้นและโกรธาเช่นเดียวกับประชาชนระดับล่างที่ทำมาหากินฝืดเคือง สงสัยจะได้ชวนกันลงถนนช่วยขับพวกเหลือบขี่รถถังออกไปจากการปกครองไทย