ปัญหาเกี่ยวกับกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า #ผีน้อย นั่นมันไม่ควรจะเป็นปัญหาเลยแต่แรก “เขาเป็นคนไทย
เสี่ยงอันตรายก็ย่อมอยากกลับบ้าน ประเทศไทยก็ควรต้อนรับ
ความผิดอยู่ที่รัฐบาลไม่เคยรับรู้ว่าเขาอยู่อย่างไรกลับมาเมื่อไหร่
และไม่มีมาตรการรองรับ”
เป็นอย่างนั้นดัง จาตุรนต์ @chaturon ว่า ไม่เห็นจะต้องอ้างกฎหมงกฎหมายไม่มีระบุเรื่องนี้ ตอแหลสิ้นดี
ล้มกฎหมายรัฐธรรมนูญมาแล้วสองครั้งสองครา
มาทีนี้เกิดจะต้องทำตามกฎหมายเด๊ะขึ้นมาเชียว ‘เฮียป้อม’
เฉไฉเพราะไม่รู้จะจัดการอย่างไรต่างหาก
ไม่เห็นจะยากเย็น ใครบ้างกลับมาจากเกาหลีใต้ตรวจไม่ได้เลยเชียวหรือ
หาสถานที่ให้พวกเขาพักรอ (กักตัว) สักสองอาทิตย์ขณะที่จัดตรวจไปด้วย ใครตรวจผ่านก่อนก็ได้กลับบ้านก่อนเท่านั้นเอง
แต่นี่ปัญหาจริงๆ ก็คือรัฐบาลไม่รู้สีสามากกว่า
การเตรียมรับมือหากเกิดการระบาดหนักแบบ Pandemic
บกพร่องและไม่สมประกอบนั่นละคือปัญหา
กระทั่งโรงพยาบาลและคณะแพทย์ที่จะต้องดูแลขจัดภัยของเชื้อไวรัสชนิดนี้ก็ยังขาดแคลนอุปกรณ์และเครื่องมือ
เช่นที่ รพ.จะนะร้องเรียน
นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ เขียนบ่น “ถึงสถานการณ์การขาดแคลนหน้ากากอนามัยอย่างหนัก...มีการกำหนดโควตาการเบิก
และหากหมดแล้วต้องดิ้นรนกันเอง โดยสต็อกที่เก็บไว้แทบจะไม่มีเหลือ”
ขณะที่หน้ากากผ้าที่เฮฮากันว่าผลิตแทนได้ก็ “ประสิทธิภาพนั้นต่ำกว่ามาก”
อีกรายที่บ่นเช่นกันเป็นโรงพยาบาลธรรมศาสตร์
ออกแถลงเป็นลายลักษณ์อักษร “การจัดการระดับประเทศ ไม่มีการบูรณาการอย่างชัดเจน”
ในเมื่อปัจจุบันโรงพยาบาลไม่สามารถจัดหาอุปกรณ์ ทางการแพทย์ที่จำเป็น เช่นหน้ากาก N95
ได้
โดยเฉพาะ “ชุดป้องกันการติดเชื้อสำหรับบุคลากรทางการแพทย์
(และ) อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลในการดูแลผู้ป่วย เป็นต้น”
(https://www.khaosod.co.th/update-news/news_3686475
และ https://www.facebook.com/…/a.206230839915…/693234711215326/)
ด้วยความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลประยุทธ์ ๒
นี้เอง จะยิ่งทำให้ภาวะข้าวยากหมากแพงในประเทศจมปลักมากขึ้น
แล้วผู้ที่ต้องรับผลเลวร้ายไม่พ้นประชาชนระดับทำมาหากิน
อ่านข่าวแม่ค้าข้าวแกงได้รับความกดดันจากการอาชีพ
หันเข้าห้องปิดประตูแล้วผูกคอตาย ทิ้งลูกน้อย ๕ ขวบร้องระงม แล้วเลิกเศร้า
แต่โกรธขึ้งรัฐบาลชุดนี้ที่คิดแต่จะครองอำนาจ ไม่ยี่หระกับทุกข์ยากของชาวบ้าน
การที่มีนักเรียนนักศึกษาออกมาประท้วงกันทั่วประเทศ
นับเป็นโชคดีของรัฐบาลที่การแสดงความโกรธยังอยู่ในแวดวงของคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่
คอยดูแล้วกันถ้าปัญหาการระบาดของไวรัส ‘โควิด-๑๙’ หนักกว่านี้ ความแร้นแค้นและกดดันของชาวบ้านจะระเบิดบ้าง
นี่ก็สภาองค์การนายจ้าง (อีคอนไทย) เพิ่งออกมาเตือนว่าพิษโคโรน่าจะ
“ซ้ำเติมการจ้างงานของไทยในปี ๒๕๖๓ ให้ชะลอตัวลงไปกว่าเดิม โดยเฉพาะนักศึกษาจบใหม่ที่จะทยอยเข้ามาในระบบแรงงานเพิ่มเติมช่วงพฤษภาคมนี้ประมาณ
๕ แสนคน
จะมีโอกาสได้งานทำค่อนข้างต่ำ” นายธนิต
โสรัตน์ รองประธานสภาฯ แถลงว่ากิจการที่พัวพันการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านค้า
สปา ร้านอาหาร ฯลฯ ล้วนกำลังเริ่มรัดเข็มขัดกันแล้ว เพราะ “นักท่องเที่ยวหายไปมากกว่า
๖๐%”
แล้วยังอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องที่นักท่องเที่ยวจับจ่ายใช้สอย
ได้แก่ การผลิตผ้าเช็ดตัว สบู่ สมุนไพร ค้าปลีก ค้าส่ง เหล่านี้ได้รับผลกระทบหมด
จะหนักแค่ไหนอยู่ที่วิกฤตไวรัสโคโรน่าจบช้าหรือเร็วเท่านั้น
ถ้าไม่เร็วจะรุนแรงกว่า ‘ต้มยำกุ้ง’
วิกฤตเศรษฐกิจปี ๒๕๔๐ ครั้งนั้นกินเวลาไม่ถึงปีก็ฟื้นได้
เนื่องจากเป็นปัญหาเฉพาะในสถาบันการเงิน ธุรกิจอื่นๆ เช่นการส่งออก
การท่องเที่ยวยังแข็ง แต่ครั้งนี้ไม่มีอะไรดีๆ เหลืออยู่ หลังจากที่พวก
คสช.นักยึดอำนาจที่ฝีมือบริหารไม่มี บั่นทอนกันมาห้าหกปี
จังหวะปะเหมาะหลังเดือนพฤษภานี้ ที่บัณฑิตจบใหม่
๕ แสนคนกำลังจะหางานทำกันยาก ทั้งอัดอั้นและโกรธาเช่นเดียวกับประชาชนระดับล่างที่ทำมาหากินฝืดเคือง
สงสัยจะได้ชวนกันลงถนนช่วยขับพวกเหลือบขี่รถถังออกไปจากการปกครองไทย