วันอังคาร, มีนาคม 10, 2563

'Blind Faith' กับ 'Deviated Trust' ใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว (เรื่องของ 'Trump')

#ผนบบรจตกม :กรณีศึกษาการรับมือ โคโรน่าไวรัส ในสหรัฐ จากมุมมองของพลเมืองคนหนึ่ง

(หมายเหตุ :แฮ้สแท็กหัวเรื่องเอาอย่างเทร็นด์เมืองไทย ขยายความได้ว่า ผู้นำบ้าบอเราจะตายกันหมดเนื่องจากยอมรับว่าขณะเขียนไป ได้แต่พะวงถึงผู้นำไทยคนนี้)

เพื่อนฝรั่งอเมริกันคนหนึ่งถามเชิงปรารภว่า “คุณกลัวไอ้ไวรัสตัวนี้ไหม ฉันกลัวนะ” ตอบไปอย่างไม่แน่ใจว่ายังไม่รู้สึกกลัวเท่าไหร่ แต่ตอนนี้แน่ใจแล้วว่า ชักจะกลัวแล้วสิ เมื่อข่าวหลักในเช้าวันแรกของฤดูใบไม้ผลิในแคลิฟอร์เนีย เตือนว่า

“เราเลยจุดที่จะสกัดกั้นไว้ได้แล้ว” ดร.สก็อต ก็อตท์ลี้บ ประธานองค์การอาหารและยาในช่วงสองปีแรกของรัฐบาลทรั้มพ์ออกมาแจ้งต่อสาธารณะ โดยที่ เจอโรม แอดัมส์ เลขาธิการใหญ่องค์การสาธารณสุขสหรัฐเสริมว่า

“เราต้องเริ่มขั้นตอนผ่อนเบาความเสียหายกันแล้ว ในสองอาทิตย์ข้างหน้าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงฉากหน้าของประเทศ” เขาให้คำอธิบายเพิ่มเติมว่า ชุมชนต่างๆ จะได้พบการเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อ โคโรน่าไวรัส หรือชื่อทางการ ‘COVID 19’

และจำเป็นต้องยับยั้งการจัดงานชุมนุมคนจำนวนมาก ปิดโรงเรียน และจัดให้ลูกจ้างทำงานส่งจากบ้าน” รวมทั้งพิจารณายกเลิกการเดินทางท่องเที่ยว ควรที่จะพยายามเก็บตัวอยู่กับบ้าน นอกเหนือจากปรับวัตรปฏิบัติป้องกันเชื้อโรค เช่นล้างมือด้วยสบู่บ่อยๆ หรือกระทั่งสวมหน้ากากสกัดเชื้อในที่สาธารณะ

ข่าวเช้าวันที่ ๙ มีนาคม รายงานว่า ริค ค็อตตอน ผู้อำนวยการบริหารของการท่าแห่งนิวยอร์คและนิวเจอร์ซี่ ซึ่งดูแลเรื่องท่าอากาศยาน สะพาน อุโมงค์รถ และสถานีรถบัส ตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรน่าในร่าง เขาเริ่มเก็บตัวเองอยู่กับบ้านและทำงานออนไลน์

ข่าวใหญ่ยิ่งกว่าก็คือ ตลาดหุ้นร่วงระนาวในอเมริกา “เอสแอนด์พี ๕๐๐ ตกไป ๗.๖% แย่ที่สุดนับแต่ปี ค.ศ.๒๐๐๘ ดาวน์โจนส์หล่นแรงเหมือนกัน ลงไปถึง ๗.๘% หรือกว่า ๒,๐๐๐ จุด แน้สแด็ค (หุ้นไฮเท็ค) ไม่น้อยหน้า ร่วง ๗.๓%

ตลาดหุ้น ซึ่งเป็นจุดขายหลักของความพยายามเชิดชูทรั้มพ์ในประเด็นที่พอจะ เมคเซ้นซ์คุยได้บ้าง ก็มีอันเป็นไปเสียแล้วด้วย พาดหัวหน้าแรกเดอะนิวยอร์คไทมส์วันเดียวกันว่า โคโรน่าไวรัส เป็น “ศัตรูที่เขา (ประธานาธิบดีทรั้มพ์) ไม่สามารถใช้ ทวี้ตปัดสวะออกไปอีกได้”

นี่ละจึงมาถึงประเด็น #ผนบบรจตกม เพราะว่า ดอแนลด์ จอห์น ทรั้มพ์ พยายามเถียงคอเป็นเอ็นมาตลอดว่า “ด้วยสำนึกเบื้องลึกของผมเอง (‘my hunch’)” ว่าซึ่งท้ายที่สุดแล้วจำนวนคนตายในสหรัฐจะไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ของความเสียหายจากการระบาดครั้งนี้ทั่วโลก

ทรั้มพ์ใช้สำนึกของตนกล่าวหาองค์การอนามัยโลกว่าแจ้งตัวเลข ผิดๆ ที่ประเมินผู้เสียชีวิตทั้งหมดอาจถึง ๓.๔% เขายังไปพูดอวดตัวที่ ซีดีซีศูนย์ควบคุมและป้องกันเชื้อโรคของสหรัฐ ในแอ๊ตแลนต้า จอร์เจีย ว่าหมอทุกคนแปลกใจทำไมเขารู้เรื่องวิทยาศาสตร์มากเหลือเกิน

ความที่ทรั้มพ์มีอุปนิสัยเป็นคน ‘self-centered’ เอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง ๘๐% คนอเมริกันเชื่ออย่างนั้น (Pew Research Center) ดังบทวิพากษ์อย่างหนักเดอะนิวยอร์คไทมส์ระบุ “เขาโกหกแล้วโกหกอีก กระทั่งบางกรณีขัดแย้งความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามจะแก้ปัญหาของประเทศ”

ดังเช่นเมื่อทรั้มพ์ไปรณรงค์หาเสียงให้พรรครีพับลิกันที่นิวแฮมเชียร์เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ขณะอนามัยโลกประกาศว่ามีผู้ติดเชื้อแล้วหลายหมื่น (ปัจจุบันเกินแสน) ทรั้มพ์กลับแย้งว่าเป็นแค่ไข้หวัดใหญ่ธรรมดา “รู้ไหมพอถึงเมษายน...เมื่ออากาศอุ่นขึ้น มันก็จะสลายไปเองแบบว่าไม่ทันได้รู้ตัว”
 
อย่างไรก็ดี ทรั้มพ์ได้พิสูจน์ตัวเองต่อฐานเสียงตลอดสามปีที่ผ่านมาแล้วว่า เขาเป็นนักแสดงที่ดี “เป็นเครื่องจ่ายความเท็จ เป็น ประสาทแดกชอบติดนิสัยแก้ไม่หาย และใจเหี้ยมไม่ยอมสลด” ล้วนเป็นบุคคลิกที่ผู้สนับสนุนของเขาหลงใหล

มิใยหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์จะพบว่าเขา “อ้างอิงผิดๆ และบิดเบือน ๑๖,๒๐๐ ครั้งตลอดสามปีที่ผ่านมา เป็นจำนวนที่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นได้นับแต่มีระบบตรวจสอบความถูกต้องเกิดขึ้น” พรรครีพับลิกันที่เป็นฐานเสียงหลักกลับทุ่มตัวอยู่เบื้องหลังเขา

ขณะที่บัดนี้พรรครีพับลิกันถูกทีมงานหาเสียงของทรั้มพ์เข้าไปยึดครองหมดแล้ว ทั้งการเงินและการจัดการ สมาชิกจำนวน ๘๐ เปอร์เซ็นต์เชื่อทุกอย่างที่เขาพูด ขณะที่พวกเดโมแครท ๘๕ เปอร์เซ็นต์ยืนยัน ไม่ชอบวิธีทำการเมืองของทรั้มพ์

ดร.จอนาธาน เอส. ไรเนอร์ หมอโรคหัวใจประจำตัวอดีตรองประธานาธิบดี ดิ๊ค เชนี่ย์ ชี้ว่ารัฐบาลทรั้มพ์ล้มเหลวในการตั้งรับไวรัสโคโรน่าแรกเมื่อปรากฏว่าเกิดขึ้นในจีน “ทำเนียบขาวไม่ต้องการยอมรับความจริงในขอบข่ายของความร้ายแรง

...ชีวิตคนจำนวนหมื่นๆ ต้องตกอยู่ในความเสี่ยง เพราะการตัดสินใจด้วยเหตุผลทางการเมืองของประธานาธิบดี” และแล้วความจริงก็ปรากฏว่านับแต่ทรั้มพ์ไปพล่ามที่ซีดีซีเมื่อวันศุกร ไวรัสร้ายกระจายถึง ๒๘ รัฐ คนติดเชื้อเกิน ๓๐๐ ราย คนตายอย่างน้อย ๑๗

คนในรัฐบาล แม้แต่ทำเนียบขาวเองสับสนว่าจะเอาไงดี ระหว่างเจ้าหน้าที่การแพทย์เร่งเร้าว่าไม่สามารถตั้งอยู่ในความสงบอย่างที่ประธานาธิบดีสั่งได้แล้ว ผู้ช่วยและที่ปรึกษาละล้าละลังว่าจะบอกกับทรั้มพ์อย่างไรดี ที่แน่ๆ
 
“แม้ว่าจะสามารถโกหกและ รมควัน ผู้สนับสนุนของเขาได้ แต่ทำอย่างนั้นกับไวรัสไม่ได้” ชาร์ล เอ็ม. โบลว์ คอลัมนิสต์นิวยอร์คไทมส์เขียนไว้เมื่อวันจันทร์ “กลเม็ดชั้นเชิงต่างๆ ที่ทรั้มพ์เรียนรู้และติดตั้งไว้ ใช้ไม่ได้กับไวรัส”

เขาว่านั่นคือจุดอ่อนของทรั้มพ์ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของประเทศ ความหลงใหลและศรัทธาไม่เพียงพออีกต่อไป วิทยาศาสตร์และความจริงเท่านั้นที่จะต่อสู้โรคระบาดที่เกิดในลักษณะ นวนิยาย ได้ นี่ไงทำให้หวนนึกถึงประเทศไทย

ก่อนหน้านี้มี ศรัทธาบอด’ (Blind Faith) ในหมู่ผู้เป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ จนนำมาสู่การยึดอำนาจให้ เชื่อใจเหล่’ (Deviated Trust) เพื่อความมั่นคงและมั่งคั่งของผู้ปกครองและลูกน้อง แต่เนื้อเพลงของ หินเหล็กไฟ ไม่พอที่จะทำให้ ยั่งยืน ได้

ชนรุ่นใหม่ต้องการ หน้ากากอนามัยและความยุติธรรมมาตรฐานเดียว ไม่ใช่ตุ๊กตาเทวาธิราชครึ่งนกครึ่งนารี อีกต่อไป

(https://www.nytimes.com/2020/03/08/opinion/trump-coronavirus.html?364959380309, https://www.nytimes.com/2020/03/07/us/politics/trump-coronavirus.html?=Article, https://www.nytimes.com/2020/03/08/us/politics/trump-coronavirus.html?id=364959380309, https://www.people-press.org/2020/03/05/few-americans-express-positive-views-of-trumps-conduct-in-office/, และ https://www.latimes.com/politics/story/2020-03-09/economic-impact-coronavirus-oil-prices-stock-markets)