#ผนบบรจตกม :กรณีศึกษาการรับมือ ‘โคโรน่าไวรัส’ ในสหรัฐ จากมุมมองของพลเมืองคนหนึ่ง
(หมายเหตุ :แฮ้สแท็กหัวเรื่องเอาอย่างเทร็นด์เมืองไทย
ขยายความได้ว่า ‘ผู้นำบ้าบอเราจะตายกันหมด’ เนื่องจากยอมรับว่าขณะเขียนไป ได้แต่พะวงถึงผู้นำไทยคนนี้)
เพื่อนฝรั่งอเมริกันคนหนึ่งถามเชิงปรารภว่า
“คุณกลัวไอ้ไวรัสตัวนี้ไหม ฉันกลัวนะ”
ตอบไปอย่างไม่แน่ใจว่ายังไม่รู้สึกกลัวเท่าไหร่ แต่ตอนนี้แน่ใจแล้วว่า
ชักจะกลัวแล้วสิ เมื่อข่าวหลักในเช้าวันแรกของฤดูใบไม้ผลิในแคลิฟอร์เนีย เตือนว่า
“เราเลยจุดที่จะสกัดกั้นไว้ได้แล้ว”
ดร.สก็อต ก็อตท์ลี้บ ประธานองค์การอาหารและยาในช่วงสองปีแรกของรัฐบาลทรั้มพ์ออกมาแจ้งต่อสาธารณะ
โดยที่ เจอโรม แอดัมส์ เลขาธิการใหญ่องค์การสาธารณสุขสหรัฐเสริมว่า
“เราต้องเริ่มขั้นตอนผ่อนเบาความเสียหายกันแล้ว
ในสองอาทิตย์ข้างหน้าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงฉากหน้าของประเทศ”
เขาให้คำอธิบายเพิ่มเติมว่า ชุมชนต่างๆ จะได้พบการเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อ ‘โคโรน่าไวรัส’ หรือชื่อทางการ ‘COVID 19’
และจำเป็นต้องยับยั้งการจัดงานชุมนุมคนจำนวนมาก
ปิดโรงเรียน และจัดให้ลูกจ้างทำงานส่งจากบ้าน” รวมทั้งพิจารณายกเลิกการเดินทางท่องเที่ยว
ควรที่จะพยายามเก็บตัวอยู่กับบ้าน นอกเหนือจากปรับวัตรปฏิบัติป้องกันเชื้อโรค
เช่นล้างมือด้วยสบู่บ่อยๆ หรือกระทั่งสวมหน้ากากสกัดเชื้อในที่สาธารณะ
ข่าวเช้าวันที่ ๙ มีนาคม รายงานว่า ริค
ค็อตตอน ผู้อำนวยการบริหารของการท่าแห่งนิวยอร์คและนิวเจอร์ซี่
ซึ่งดูแลเรื่องท่าอากาศยาน สะพาน อุโมงค์รถ และสถานีรถบัส
ตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรน่าในร่าง เขาเริ่มเก็บตัวเองอยู่กับบ้านและทำงานออนไลน์
ข่าวใหญ่ยิ่งกว่าก็คือ ‘ตลาดหุ้นร่วงระนาว’ ในอเมริกา “เอสแอนด์พี ๕๐๐ ตกไป
๗.๖% แย่ที่สุดนับแต่ปี ค.ศ.๒๐๐๘ ดาวน์โจนส์หล่นแรงเหมือนกัน
ลงไปถึง ๗.๘% หรือกว่า ๒,๐๐๐ จุด แน้สแด็ค (หุ้นไฮเท็ค)
ไม่น้อยหน้า ร่วง ๗.๓%”
ตลาดหุ้น
ซึ่งเป็นจุดขายหลักของความพยายามเชิดชูทรั้มพ์ในประเด็นที่พอจะ ‘เมคเซ้นซ์’ คุยได้บ้าง ก็มีอันเป็นไปเสียแล้วด้วย
พาดหัวหน้าแรกเดอะนิวยอร์คไทมส์วันเดียวกันว่า ‘โคโรน่าไวรัส’ เป็น “ศัตรูที่เขา (ประธานาธิบดีทรั้มพ์) ไม่สามารถใช้ ‘ทวี้ต’ ปัดสวะออกไปอีกได้”
นี่ละจึงมาถึงประเด็น #ผนบบรจตกม เพราะว่า ดอแนลด์ จอห์น ทรั้มพ์ พยายามเถียงคอเป็นเอ็นมาตลอดว่า
“ด้วยสำนึกเบื้องลึกของผมเอง (‘my hunch’)” ว่าซึ่งท้ายที่สุดแล้วจำนวนคนตายในสหรัฐจะไม่ถึง
๑ เปอร์เซ็นต์ของความเสียหายจากการระบาดครั้งนี้ทั่วโลก
ทรั้มพ์ใช้สำนึกของตนกล่าวหาองค์การอนามัยโลกว่าแจ้งตัวเลข
‘ผิดๆ’ ที่ประเมินผู้เสียชีวิตทั้งหมดอาจถึง
๓.๔% เขายังไปพูดอวดตัวที่ ‘ซีดีซี’
ศูนย์ควบคุมและป้องกันเชื้อโรคของสหรัฐ ในแอ๊ตแลนต้า จอร์เจีย ว่าหมอทุกคนแปลกใจทำไมเขารู้เรื่องวิทยาศาสตร์มากเหลือเกิน
ความที่ทรั้มพ์มีอุปนิสัยเป็นคน ‘self-centered’
เอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง ๘๐% คนอเมริกันเชื่ออย่างนั้น
(Pew Research
Center) ดังบทวิพากษ์อย่างหนักเดอะนิวยอร์คไทมส์ระบุ “เขาโกหกแล้วโกหกอีก
กระทั่งบางกรณีขัดแย้งความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามจะแก้ปัญหาของประเทศ”
ดังเช่นเมื่อทรั้มพ์ไปรณรงค์หาเสียงให้พรรครีพับลิกันที่นิวแฮมเชียร์เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์
ขณะอนามัยโลกประกาศว่ามีผู้ติดเชื้อแล้วหลายหมื่น (ปัจจุบันเกินแสน)
ทรั้มพ์กลับแย้งว่าเป็นแค่ไข้หวัดใหญ่ธรรมดา “รู้ไหมพอถึงเมษายน...เมื่ออากาศอุ่นขึ้น
มันก็จะสลายไปเองแบบว่าไม่ทันได้รู้ตัว”
อย่างไรก็ดี
ทรั้มพ์ได้พิสูจน์ตัวเองต่อฐานเสียงตลอดสามปีที่ผ่านมาแล้วว่า เขาเป็นนักแสดงที่ดี
“เป็นเครื่องจ่ายความเท็จ เป็น ‘ประสาทแดก’
ชอบติดนิสัยแก้ไม่หาย และใจเหี้ยมไม่ยอมสลด”
ล้วนเป็นบุคคลิกที่ผู้สนับสนุนของเขาหลงใหล
มิใยหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์จะพบว่าเขา “อ้างอิงผิดๆ
และบิดเบือน ๑๖,๒๐๐ ครั้งตลอดสามปีที่ผ่านมา เป็นจำนวนที่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นได้นับแต่มีระบบตรวจสอบความถูกต้องเกิดขึ้น”
พรรครีพับลิกันที่เป็นฐานเสียงหลักกลับทุ่มตัวอยู่เบื้องหลังเขา
ขณะที่บัดนี้พรรครีพับลิกันถูกทีมงานหาเสียงของทรั้มพ์เข้าไปยึดครองหมดแล้ว
ทั้งการเงินและการจัดการ สมาชิกจำนวน ๘๐ เปอร์เซ็นต์เชื่อทุกอย่างที่เขาพูด
ขณะที่พวกเดโมแครท ๘๕ เปอร์เซ็นต์ยืนยัน ไม่ชอบวิธีทำการเมืองของทรั้มพ์
ดร.จอนาธาน เอส. ไรเนอร์
หมอโรคหัวใจประจำตัวอดีตรองประธานาธิบดี ดิ๊ค เชนี่ย์ ชี้ว่ารัฐบาลทรั้มพ์ล้มเหลวในการตั้งรับไวรัสโคโรน่าแรกเมื่อปรากฏว่าเกิดขึ้นในจีน
“ทำเนียบขาวไม่ต้องการยอมรับความจริงในขอบข่ายของความร้ายแรง
...ชีวิตคนจำนวนหมื่นๆ
ต้องตกอยู่ในความเสี่ยง เพราะการตัดสินใจด้วยเหตุผลทางการเมืองของประธานาธิบดี” และแล้วความจริงก็ปรากฏว่านับแต่ทรั้มพ์ไปพล่ามที่ซีดีซีเมื่อวันศุกร
ไวรัสร้ายกระจายถึง ๒๘ รัฐ คนติดเชื้อเกิน ๓๐๐ ราย คนตายอย่างน้อย ๑๗
คนในรัฐบาล แม้แต่ทำเนียบขาวเองสับสนว่าจะเอาไงดี
ระหว่างเจ้าหน้าที่การแพทย์เร่งเร้าว่าไม่สามารถตั้งอยู่ในความสงบอย่างที่ประธานาธิบดีสั่งได้แล้ว
ผู้ช่วยและที่ปรึกษาละล้าละลังว่าจะบอกกับทรั้มพ์อย่างไรดี ที่แน่ๆ
“แม้ว่าจะสามารถโกหกและ ‘รมควัน’ ผู้สนับสนุนของเขาได้ แต่ทำอย่างนั้นกับไวรัสไม่ได้”
ชาร์ล เอ็ม. โบลว์ คอลัมนิสต์นิวยอร์คไทมส์เขียนไว้เมื่อวันจันทร์ “กลเม็ดชั้นเชิงต่างๆ
ที่ทรั้มพ์เรียนรู้และติดตั้งไว้ ใช้ไม่ได้กับไวรัส”
เขาว่านั่นคือจุดอ่อนของทรั้มพ์ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของประเทศ
ความหลงใหลและศรัทธาไม่เพียงพออีกต่อไป
วิทยาศาสตร์และความจริงเท่านั้นที่จะต่อสู้โรคระบาดที่เกิดในลักษณะ ‘นวนิยาย’ ได้ นี่ไงทำให้หวนนึกถึงประเทศไทย
ก่อนหน้านี้มี ‘ศรัทธาบอด’ (Blind Faith) ในหมู่ผู้เป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ
จนนำมาสู่การยึดอำนาจให้ ‘เชื่อใจเหล่’ (Deviated
Trust) เพื่อความมั่นคงและมั่งคั่งของผู้ปกครองและลูกน้อง แต่เนื้อเพลงของ
‘หินเหล็กไฟ’ ไม่พอที่จะทำให้ ‘ยั่งยืน’ ได้
ชนรุ่นใหม่ต้องการ
หน้ากากอนามัยและความยุติธรรมมาตรฐานเดียว ไม่ใช่ตุ๊กตาเทวาธิราชครึ่งนกครึ่งนารี
อีกต่อไป