นายกฯ (คราวนี้) ยืน (แล้ว) ยัน ‘ไม่เคอร์ฟิว’ สามจังหวัดชายแดนใต้ “ชี้
ผู้ก่อเหตุแค่ต้องการกดดัน ไม่ใช่ก่อการร้าย” ด้านพี่ใหญ่ คสช.ทั่นรองฯ ก็ ‘ชี้’ เหมือนกันว่างานตรงนั้นก้าวหน้า แถม “เศรษฐกิจดีขึ้น
ความรุนแรงลดลง”
ฝ่ายโปรเฟชเซ่อโฆษกเดี๋ยวนี้ยิ่งเป็นงาน “ย้ำกันอีกครั้ง...ไม่มีการประกาศเคอร์ฟิวส์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้”
นะ แค่ “ให้อำนาจตามความในมาตรา ๑๘(๒) ให้สามารถประกาศเคอร์ฟิวส์ได้
แต่ยังไม่เคยมีการใช้อำนาจนั้น เพราะยังไม่มีความจำเป็น”
พวกรัฐบาล คสช.๒
นี่ปกครองกันด้วยหลักวิชาภาษาศาสตร์มั้ง เล่นคำ สำบัดสำนวนเสียไม่มี ชุดรักษาความปลอดภัยยะลาตาย
๑๕ ศพนั่น โปรเฟสเซ่อนฤมล ภิญโญฯ ว่า “ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก”
หลังจากขวัญกระเจิงกันมาแล้ว
ถ้างั้นที่มีราชกิจจาฯ ประกาศเมื่อ ๗ พ.ย.ว่า
“ห้ามบุคคลใดออกนอกเคหสถานในเวลาที่กําหนด ตามที่ผู้อำนวยการ กอ.รมน.
หรือผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการประกาศกำหนด” อย่างนี้แค่เป็นพิธีการให้อำนาจเท่านั้นหรือ
แล้วทำไมมีถ้อยความ “ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน รวมถึงห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ
และให้บุคคลปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดอันเกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์” ด้วยล่ะ
แม้นว่าจำกัดพื้นที่แค่ “อําเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี
อําเภอจะนะ อําเภอนาทวี อําเภอเทพา และอําเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา อําเภอเบตง
จังหวัดยะลา อําเภอสุไหงโก-ลก และอําเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส” เท่านั้น
ก็แน่นอนว่าประกาศเด่นชัดให้อำนาจ กอ.รมน.
เป็นพ่องทุกองค์กร “เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการปฏิบัติ...ให้บรรดาประกาศหรือคำสั่งใดที่ผู้อำนวยการ...
(กอ.รมน.) กำหนดขึ้น...ยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปจนกว่าจะมีการกำหนดเป็นอย่างอื่น”
นั่นคือคำสั่งปลายเปิด
สไตล์เดิมของคณะรัฐประหาร ไม่เชื่อลองฟังโฆษก กอ.รมน.แถลงที่ทำเนียบรัฐบาลบ้างยังได้
พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง แจงผลประชุมของกองอำนวยการฯ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เป็นประธาน
ว่า กอ.รมน.ได้ทำแผน ‘ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย’ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
เสนอต่อคณะรัฐมนตรี “เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้”
นี่ไง ‘บีอาร์เอ็น’ เล่นกดดันอย่างนี้เข้าทาง
กอ.รมน.ไหมล่ะ
พล.ต.ธนาธิปสาธยายต่อ ว่าแผนแยบยลของ
กอ.รมน.ภาค ๔ ส่วนหน้า ครบวงจร ‘ปฏิบัติการ ๓
ด้าน’ ได้แก่ ด้านยุทธการ “ใช้กำลังประชาชนดูแลพื้นที่
ชุมชน/หมู่บ้านของตัวเอง ทดแทนกำลังทหารหลัก” นี่ละที่ ชรบ.ยะลาตายแทนทหารไง
ต่อไป ด้านเศรษฐกิจ (ภาษาไทยสไตล์
กอ.รมน.เรียก “ด้านการพัฒนา”) “มุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ตรงกับความต้องการและศักยภาพ
ผ่านโครงการพัฒนาของรัฐ” แบบ ‘ช้อปชิมใช้’
แจกเงินให้ไปซื้อสินค้าเจ้าสัวไง
สำหรับด้านการเมือง “รณรงค์ให้ผู้เห็นต่างจากรัฐหันกลับมาต่อสู้ตามแนวทางสันติ
ออกมารายงานตัวและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางกฎหมาย” ทั่นโฆษกฯ ลืมเน้นว่าเป็น
กฎหมายของ คสช.น่ะ ดูอย่างคดี ‘ชูป้ายต้านรัฐประหาร’
สิ
ศาลฎีกาเพิ่งตัดสินปรับ ๖
พันบาทต่อผุ้ชุมนุมคัดค้านรัฐประหารเมื่อ พฤษภา ๕๗
รายหนึ่งว่ามีความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งของ คสช.ฉบับที่ ๓/๒๕๕๘ ข้อ ๑๒
ซึ่งได้มีการยกเลิกคำสั่งนี้ไปแล้วด้วยคำสั่งใหม่ ฉบับที่ ๒๒/๒๕๖๑
จำเลยฎีกาต่อสู้ว่าการยกเลิกคำสั่ง ๓/๒๕๕๘
ที่ “ห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ห้าคน” ทำให้ตนพ้นความผิด
แต่ศาลฎีกากลับตีความพิเรนทร์ว่า การออกคำสั่ง ๒๒/๒๕๖๑ มายกเลิกนั้นใช้เฉพาะในช่วง
“ที่จะเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไป” เท่านั้น
“การชุมนุมที่เป็นเหตุแห่งคดีนี้เกิดขึ้นในระหว่างมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร
การชุมนุมของจำเลยจึงไม่เข้าข่ายการชุมนุมตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ
ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น”
(อ่านรายละเอียดคำพิพากษาอันสลับซับซ้อนของศาลฎีกาได้จาก
https://freedom.ilaw.or.th/th/case/679 และ https://prachatai.com/journal/2019/11/85066)
ทำความเข้าใจตรงนี้ได้ง่ายๆ
ว่าตุลาการไทยสยบให้กับรัฐประหารตลอดกาล (และอาจจะทุกชาติไป)
ความผิดใดที่คณะรัฐประหารสั่ง ย่อมมีผลบังคับไปจนกว่าตุลาการจะยอมรับหรือรู้จักกับความเป็นประชาธิปไตย