วันอาทิตย์, เมษายน 07, 2562

ทูตตะวันตก ๑๐ ชาติห่วงใย คดีธนาธรโดน ม.๑๑๖ ข้อหาการเมืองขึ้นศาลทหาร


คนละเรื่องเดียวกัน ชุลมุนน่าดูตอนนี้ จากการที่ตำรวจไซเบอร์จับคนแชร์ #ถอดถอน กกต.โป๊ะแตก ไปสู่ #ย้ายบิ๊กโจ๊กเข้ากรุ จนถึง ๑๐ ชาติตะวันตกสังเกตุการณ์แจ้งข้อหาธนาธร #ยุยงปลุกปั่น ส่งขึ้นศาลทหาร ทั้งหลายทั้งปวงจากการชุบตัวเลือกตั้งให้ คสช.กลับมาครองเมือง ทั้งนั้น

เซอร์ไพร้ส์กันใหญ่เมื่อ วาสนา นาน่วมปูดว่าเพจประชาสัมพันธ์ต่างๆ ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการตรวจคนเข้าเมืองและ ผอ.ศูนย์ปราบอาชญากรรมไซเบอร์ ปิดตัวเองไปหมด แล้วพบว่ามีคำสั่งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ย้ายกระทันหันให้ บิ๊กโจ๊กไปปฏิบัติหน้าที่ยังศูนย์ปฏิบัติการ สตช.

ลือกันไปต่างๆ นานา บ้างว่าเยอรมนีไม่โปรด บ้างชี้วิธีจับ ๖ คนแชร์โพสต์รณรงค์ปลด กกต. ไปโรงพัก เกิดเป็นพิษ มีแรงถีบกลับ ‘backfired’ สองในหกนั่นเป็นคนดังฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตย ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ผู้ประกาศว้อยซ์ทีวี และ โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรม

จะเกี่ยวกันไหมไม่รู้ที่บิ๊กโจ๊กคนนี้เป็นที่ปรึกษาพิเศษของ เฮียป้อม พี่ใหญ่ คสช. รมว.กลาโหม เจ้าของฉายา นาฬิกายืมเพื่อนซึ่งพูดถึงการรณรงค์ทาง ‘Change.org’ ถอดถอนหลายคนตั้งแต่หัวหน้า คสช.ลงมาถึง ผบ.ทบ.และ กกต.
 
ว่า ผบ.ทบ. นั้นถอดไม่ได้เพราะเป็นตำแหน่งโปรดเกล้าฯ ทั้งที่กฎหมายแจ้งไว้โทนโท่ข้อ ๗ กับข้อ ๑๑ ถอดได้ทั้ง กกต. ปลัดกระทรวง อธิบดีกรม ผบ.สูงสุด ผบ.เหล่าทัพ และ ผบ.ตำรวจ เรียกว่าตัวนายไม่รู้กฎหมายแล้วปล่อยลูกน้องทำเซ่อซ่า ก็ได้

ประเด็นอยู่ที่เวลานี้โหนเจ้ากันใหญ่ ทั้งตัวหน้า รองหัวหน้า และ เลขาธิการ คสช. ออกมาโหนกันต่องแต่ง แล้วพวกสาวกโหนต่อ นักร้องหญิงระดับขึ้นตั่งคนหนึ่งกำลังดังเพราะโหนช่วยตัดกำลัง ไอคอน คนรุ่นใหม่ สมุนขบวนการขวาตกขอบเลยเอาบ้าง

กลุ่ม สยามมานุสติ ร้อง กกต. ให้ตรวจสอบพฤติกรรมของ ธนาธร - ปิยบุตร พรรคอนาคตใหม่ ที่อาจเข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง โดยตั้งข้อสังเกตว่า หลายพฤติกรรมเป็นการแสดงออกถึงความไม่เลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

ไม่รู้อีกเหมือนกันเขามั่วอีท่าไหน จึงกล่าวหาไม่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตย บลา บลา บลา ฤๅว่าระบอบประชาธิปไตย กับระบอบชื่อเดียวกันนี้แต่มีสร้อยยาว มันขัดแย้งต่อกันเสียจนเป็นความผิด ถ้าเช่นนั้นควรที่จะเรียกชื่อเสียใหม่แค่ว่า เป็นระบอบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 
ไม่เช่นนั้นก็เพียงต้องการทำร้ายทำลายพรรคอนาคตใหม่ เพราะเป็นตัวการสำคัญขัดขวางการสืบทอดอำนาจของ คสช. มีอย่างที่ไหนเหมือนม้าหนุ่มมามืดพรวดเดียวได้ที่สาม เฉือนขาดพรรคเก่าแก่ที่มีสมุน คสช.แฝงอยู่เต็ม แล้วยังประกาศจะให้พรรคใหญ่ ส.ส.มากสุดเป็นนายกรัฐมนตรี

ก็เลยโหมกันทุกท่าเพื่อจะเตะสกัดพรรคนี้ แม้กระทั่ง เพจ IO ของทหารอย่างเพจ ‘BRN ขบวนการลวงโลกตอนนี้ “พักการโจมตีนักกิจกรรม/นักสิทธิมนุษยชนชายแดนใต้ พักการอวยทหาร และพักการปั่นสถานการณ์ชายแดนใต้ แล้วหันมาโจมตีธนาธรเรื่อง สถาบัน แทน” เจ้าของบัญชี Chalita Bundhuwongเผย

แต่ดูเหมือนว่า การอ้างสถาบันเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองใช้ไม่ได้ผลกับ ธนาธร-ปิยบุตรเหมือนที่เคยใช้กับ ทักษิณทั้งที่เวลานี้หมู่คนที่เคยกล่าวหาทักษิณ ล้มเจ้า กลับมาก่นด่าทักษิณ โหมเจ้าเป็นข้อโจมตีทำให้เจ้ามัวหมอง จนต้องเรียกคืนเครื่องราชฯ กัน

เรื่องใช้เจ้าเป็นเครื่องมือนี่ต้องให้ ปวิน ชัชวาลพันธ์พงศ์ วิจารณ์ “ทำไมข้อหาล้มเจ้ามันไม่เวิร์คอีกต่อไป” เขาเขียนบนสเตตัสเมื่อวาน ว่าคนรุ่นใหม่ที่เป็นพลังหนุนพรรคอนาคตใหม่จนได้คะแนนเสียงมากมายในการเลือกตั้งครั้งนี้นั้น

“ไม่อินกันสถาบันกษัตริย์เหมือนคนรุ่นเก่า” แม้แต่รุ่นตัวปวินเอง “คนรุ่นใหม่เหล่านี้โตมาในช่วงปลายรัชสมัยของในหลวงภูมิพล” เขาชี้ว่าทรงเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ “คนที่อายุ ๒๐ วันนี้ ตอนนั้นก็แค่ ๑๐ ขวบ จึงไม่ถูกล้างสมองจากการโฆษณาชวนเชื่อเท่ากับคนที่เติบโตในช่วงพีคของรัชสมัยเดียวกัน”

อีกทั้ง “โซเชี่ยลมีเดียทำให้คนไทยเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น​โดยเฉพาะข้อมูลของกษัตริย์ชุดที่ต่างจากรัฐ คนรุ่นใหม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของกษัตริย์ในต่างประเทศเทียบกับกษัตริย์ในไทย มองเห็นความบิดเบี้ยวของการใช้มาตรา ๑๑๒ และล้วนเข้าใจว่ามันถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง”


กรณีธนาธรและปิยบุตรถูกแจ้งความก็เช่นกัน เป็นการทำลายล้างทางการเมืองที่ผู้เจริญด้วยสติปัญญาทางประชาธิปไตยทั้งหลายย่อมเห็น เมื่อวานนี้ (๖ เมษา) ที่ธนาธรเดินทางไปสถานีตำรวจปทุมวันเพื่อรับฟังข้อกล่าวหาตามหมายเรียกจากการแจ้งความของพนักงาน คสช. จึงมีคนไปให้กำลังใจกันเนืองแน่น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีตัวแทนสถานทูตชาติตะวันตก ๑๒ คน จาก ๑๐ ประเทศไปร่วมสังเกตุการณ์อย่างใกล้ชิด เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกว่า ฮุนต้า(ในความหมายเนื้อแท้ก็คือ เผด็จการทหาร) ไทยใช้กฎหมายเผด็จการหาเรื่องกับพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่ได้รับความนิยมล้นหลาม

คสช. ให้ลิ่วล้อคนสำคัญ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.ไปสอบปากคำด้วยตนเอง ตั้ง ๓ ข้อหาตามมาตรา ๑๑๖, ๑๘๙ และ ๒๑๕ นั่นคือ “ยุยงปลุกปั่น” “พาผู้ต้องหาหลบหนี” และ “มั่วสุมชุมนุมเกิน ๕ คน”

ธนาธร “ปฏิเสธการให้การชั้นนี้ โดยจะยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน ๑๕ พฤษภาคม” แต่ก็ให้สัมภาษณ์สื่อ “เชื่อว่าตนเองบริสุทธิ์...การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมไม่ผิด เป็นสิ่งที่ประชาชนมีสิทธิ์ลุกขึ้นมาต่อต้านได้ทั้ง ๓ ข้อหา”

แต่เขาแสดงความแปลกใจที่ทำไมคดีนี้จึงถูกส่งไปขึ้นศาลทหาร ซึ่งตรงกับที่บรรดาตัวแทนสถานทูตต่างๆ ทั้งทูตอียู สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ยูเอ็น แสดงความห่วงใย “ทำไมคดีถึงล่าช้ามาจนทุกวันนี้ กระบวนการที่จะใช้นานเท่าไหร่”


ประหลาดยิ่งขึ้นไปอีก ดังที่ ไอลอว์ตั้งข้อสังเกตุไว้ว่าคดี ม.๑๑๖ อันเก่าแก่นี้เป็นเหตุการณ์ในปี ๒๕๕๘ เกิดในท้องที่ สน.สำราญราษฎร์ แต่ไหง คสช.ให้ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ไปแจ้งความฟ้องร้องไว้ที่ สน.ปทุมวัน

(ดูรายละเอียดเกี่ยวข้องคดีทั้งหมดที่ https://www.facebook.com/299528675550/posts/10161770165915551?sfns=mo)

ดูจะเป็นความจงใจของ คสช.ที่จะใช้ศาลทหารเป็นเครื่องมือกดขี่พรรคการเมืองที่โตขึ้นมาด้วยแรงหนุนของคนรุ่นใหม่ เป็นก้างขวางคอการสืบทอดอำนาจของตนนั่นเอง