คนละเรื่องเดียวกัน ชุลมุนน่าดูตอนนี้
จากการที่ตำรวจไซเบอร์จับคนแชร์ #ถอดถอน กกต.โป๊ะแตก
ไปสู่ #ย้ายบิ๊กโจ๊กเข้ากรุ จนถึง ๑๐ ชาติตะวันตกสังเกตุการณ์แจ้งข้อหาธนาธร
#ยุยงปลุกปั่น ส่งขึ้นศาลทหาร
ทั้งหลายทั้งปวงจากการชุบตัวเลือกตั้งให้ คสช.กลับมาครองเมือง ทั้งนั้น
เซอร์ไพร้ส์กันใหญ่เมื่อ
‘วาสนา นาน่วม’ ปูดว่าเพจประชาสัมพันธ์ต่างๆ
ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการตรวจคนเข้าเมืองและ ผอ.ศูนย์ปราบอาชญากรรมไซเบอร์
ปิดตัวเองไปหมด แล้วพบว่ามีคำสั่งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์
ชัยจินดา ย้ายกระทันหันให้ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ไปปฏิบัติหน้าที่ยังศูนย์ปฏิบัติการ
สตช.
ลือกันไปต่างๆ
นานา บ้างว่าเยอรมนีไม่โปรด บ้างชี้วิธีจับ ๖ คนแชร์โพสต์รณรงค์ปลด กกต. ไปโรงพัก เกิดเป็นพิษ
มีแรงถีบกลับ ‘backfired’ สองในหกนั่นเป็นคนดังฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตย
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ผู้ประกาศว้อยซ์ทีวี และ ‘โบว์’ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรม
จะเกี่ยวกันไหมไม่รู้ที่บิ๊กโจ๊กคนนี้เป็นที่ปรึกษาพิเศษของ
‘เฮียป้อม’ พี่ใหญ่ คสช.
รมว.กลาโหม เจ้าของฉายา ‘นาฬิกายืมเพื่อน’ ซึ่งพูดถึงการรณรงค์ทาง ‘Change.org’ ถอดถอนหลายคนตั้งแต่หัวหน้า
คสช.ลงมาถึง ผบ.ทบ.และ กกต.
ว่า
ผบ.ทบ. นั้นถอดไม่ได้เพราะเป็นตำแหน่งโปรดเกล้าฯ ทั้งที่กฎหมายแจ้งไว้โทนโท่ข้อ ๗
กับข้อ ๑๑ ถอดได้ทั้ง กกต. ปลัดกระทรวง อธิบดีกรม ผบ.สูงสุด ผบ.เหล่าทัพ และ
ผบ.ตำรวจ เรียกว่าตัวนายไม่รู้กฎหมายแล้วปล่อยลูกน้องทำเซ่อซ่า ก็ได้
ประเด็นอยู่ที่เวลานี้โหนเจ้ากันใหญ่
ทั้งตัวหน้า รองหัวหน้า และ เลขาธิการ คสช. ออกมาโหนกันต่องแต่ง แล้วพวกสาวกโหนต่อ
นักร้องหญิงระดับขึ้นตั่งคนหนึ่งกำลังดังเพราะโหนช่วยตัดกำลัง ‘ไอคอน’ คนรุ่นใหม่ สมุนขบวนการขวาตกขอบเลยเอาบ้าง
“กลุ่ม
‘สยามมานุสติ’ ร้อง กกต.
ให้ตรวจสอบพฤติกรรมของ ธนาธร - ปิยบุตร พรรคอนาคตใหม่ ที่อาจเข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง
โดยตั้งข้อสังเกตว่า
หลายพฤติกรรมเป็นการแสดงออกถึงความไม่เลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ไม่รู้อีกเหมือนกันเขามั่วอีท่าไหน
จึงกล่าวหาไม่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตย บลา บลา บลา ฤๅว่าระบอบประชาธิปไตย
กับระบอบชื่อเดียวกันนี้แต่มีสร้อยยาว มันขัดแย้งต่อกันเสียจนเป็นความผิด
ถ้าเช่นนั้นควรที่จะเรียกชื่อเสียใหม่แค่ว่า เป็นระบอบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ไม่เช่นนั้นก็เพียงต้องการทำร้ายทำลายพรรคอนาคตใหม่
เพราะเป็นตัวการสำคัญขัดขวางการสืบทอดอำนาจของ คสช.
มีอย่างที่ไหนเหมือนม้าหนุ่มมามืดพรวดเดียวได้ที่สาม เฉือนขาดพรรคเก่าแก่ที่มีสมุน
คสช.แฝงอยู่เต็ม แล้วยังประกาศจะให้พรรคใหญ่ ส.ส.มากสุดเป็นนายกรัฐมนตรี
ก็เลยโหมกันทุกท่าเพื่อจะเตะสกัดพรรคนี้
แม้กระทั่ง เพจ IO ของทหารอย่างเพจ ‘BRN ขบวนการลวงโลก’ ตอนนี้ “พักการโจมตีนักกิจกรรม/นักสิทธิมนุษยชนชายแดนใต้
พักการอวยทหาร และพักการปั่นสถานการณ์ชายแดนใต้ แล้วหันมาโจมตีธนาธรเรื่อง ‘สถาบัน’ แทน” เจ้าของบัญชี ‘Chalita
Bundhuwong’ เผย
แต่ดูเหมือนว่า
การอ้างสถาบันเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองใช้ไม่ได้ผลกับ ‘ธนาธร-ปิยบุตร’ เหมือนที่เคยใช้กับ ‘ทักษิณ’ ทั้งที่เวลานี้หมู่คนที่เคยกล่าวหาทักษิณ ‘ล้มเจ้า’ กลับมาก่นด่าทักษิณ ‘โหมเจ้า’
เป็นข้อโจมตีทำให้เจ้ามัวหมอง จนต้องเรียกคืนเครื่องราชฯ กัน
เรื่องใช้เจ้าเป็นเครื่องมือนี่ต้องให้
ปวิน ชัชวาลพันธ์พงศ์ วิจารณ์ “ทำไมข้อหาล้มเจ้ามันไม่เวิร์คอีกต่อไป”
เขาเขียนบนสเตตัสเมื่อวาน
ว่าคนรุ่นใหม่ที่เป็นพลังหนุนพรรคอนาคตใหม่จนได้คะแนนเสียงมากมายในการเลือกตั้งครั้งนี้นั้น
“ไม่อินกันสถาบันกษัตริย์เหมือนคนรุ่นเก่า”
แม้แต่รุ่นตัวปวินเอง “คนรุ่นใหม่เหล่านี้โตมาในช่วงปลายรัชสมัยของในหลวงภูมิพล”
เขาชี้ว่าทรงเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ “คนที่อายุ ๒๐ วันนี้ ตอนนั้นก็แค่ ๑๐ ขวบ
จึงไม่ถูกล้างสมองจากการโฆษณาชวนเชื่อเท่ากับคนที่เติบโตในช่วงพีคของรัชสมัยเดียวกัน”
อีกทั้ง
“โซเชี่ยลมีเดียทำให้คนไทยเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้นโดยเฉพาะข้อมูลของกษัตริย์ชุดที่ต่างจากรัฐ
คนรุ่นใหม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของกษัตริย์ในต่างประเทศเทียบกับกษัตริย์ในไทย
มองเห็นความบิดเบี้ยวของการใช้มาตรา ๑๑๒
และล้วนเข้าใจว่ามันถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง”
กรณีธนาธรและปิยบุตรถูกแจ้งความก็เช่นกัน
เป็นการทำลายล้างทางการเมืองที่ผู้เจริญด้วยสติปัญญาทางประชาธิปไตยทั้งหลายย่อมเห็น
เมื่อวานนี้ (๖ เมษา) ที่ธนาธรเดินทางไปสถานีตำรวจปทุมวันเพื่อรับฟังข้อกล่าวหาตามหมายเรียกจากการแจ้งความของพนักงาน
คสช. จึงมีคนไปให้กำลังใจกันเนืองแน่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีตัวแทนสถานทูตชาติตะวันตก
๑๒ คน จาก ๑๐ ประเทศไปร่วมสังเกตุการณ์อย่างใกล้ชิด เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกว่า ‘ฮุนต้า’ (ในความหมายเนื้อแท้ก็คือ ‘เผด็จการทหาร’) ไทยใช้กฎหมายเผด็จการหาเรื่องกับพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่ได้รับความนิยมล้นหลาม
คสช.
ให้ลิ่วล้อคนสำคัญ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.ไปสอบปากคำด้วยตนเอง
ตั้ง ๓ ข้อหาตามมาตรา ๑๑๖, ๑๘๙ และ ๒๑๕ นั่นคือ “ยุยงปลุกปั่น” “พาผู้ต้องหาหลบหนี”
และ “มั่วสุมชุมนุมเกิน ๕ คน”
ธนาธร
“ปฏิเสธการให้การชั้นนี้ โดยจะยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน ๑๕ พฤษภาคม”
แต่ก็ให้สัมภาษณ์สื่อ “เชื่อว่าตนเองบริสุทธิ์...การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมไม่ผิด
เป็นสิ่งที่ประชาชนมีสิทธิ์ลุกขึ้นมาต่อต้านได้ทั้ง ๓ ข้อหา”
แต่เขาแสดงความแปลกใจที่ทำไมคดีนี้จึงถูกส่งไปขึ้นศาลทหาร
ซึ่งตรงกับที่บรรดาตัวแทนสถานทูตต่างๆ ทั้งทูตอียู
สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์
รวมถึงเจ้าหน้าที่ยูเอ็น แสดงความห่วงใย “ทำไมคดีถึงล่าช้ามาจนทุกวันนี้
กระบวนการที่จะใช้นานเท่าไหร่”
ประหลาดยิ่งขึ้นไปอีก ดังที่ ‘ไอลอว์’ ตั้งข้อสังเกตุไว้ว่าคดี ม.๑๑๖ อันเก่าแก่นี้เป็นเหตุการณ์ในปี
๒๕๕๘ เกิดในท้องที่ สน.สำราญราษฎร์ แต่ไหง คสช.ให้ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ไปแจ้งความฟ้องร้องไว้ที่
สน.ปทุมวัน
(ดูรายละเอียดเกี่ยวข้องคดีทั้งหมดที่ https://www.facebook.com/299528675550/posts/10161770165915551?sfns=mo)
ดูจะเป็นความจงใจของ คสช.ที่จะใช้ศาลทหารเป็นเครื่องมือกดขี่พรรคการเมืองที่โตขึ้นมาด้วยแรงหนุนของคนรุ่นใหม่
เป็นก้างขวางคอการสืบทอดอำนาจของตนนั่นเอง