คสช.แจ้งความ ๒ ข้อหาต่อ ปิยบุตร แสงกนกกุล
เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เป็นการ “ใช้การดำเนินคดีอาญาเพื่อเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้ง”
และ “ก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรม” ดังที่ จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตแคนดิเดทนายกฯ
พรรคไทยรักษาชาติตั้งข้อสังเกตุ หรือไม่
จะต้องรอจนกว่าบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยเต็มตัว
และอำนาจอิทธิพลของคณะทหารทางการเมืองหมดไปละหรือ
อีกทั้งจะเชื่อได้เพียงใดว่าศาลสถิตย์ ‘จะ’ ยุติธรรม ตามที่โฆษกกองบังคับการอาชญากรรมเทคโนโลยี่อ้างบ้างไหม
และกระบวนการยุติธรรมของไทยจะ “ได้มาตรฐาน”
อันสำคัญที่สุดของประเทศไทย ได้ดังที่ อจ.ปิยบุตร ผู้ต้องหาวาดหวังไว้หรือไร
ทั้งหมดล้วนแต่เป็นคำถามที่จะไม่มีคำตอบอย่างสมเหตุสมผลมาจาก คสช.
และผู้สนับสนุนทางการเมือง ให้สืบทอดอำนาจกันต่อไปอีกอย่างน้อยๆ ๘ ปี
ถ้าปิยบุตร และหัวหน้าพรรคของเขา ธนาธร
จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกพิพากษามีความผิดตามที่ คสช.กล่าวหา
หรืออาจเลยเถิดไปถึงมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ด้วย
เราได้ทราบถึงการแจ้งข้อหา
ดำเนินคดีกับธนาธรกันแล้วว่า ‘เหลวไหล’ เพียงใด มาดูข้อหาต่อปิยบุตรบ้างให้เห็นว่าทุเรศทุรังพอกัน
แรกเริ่มเดิมที
ปิยบุตรถูกเรียกตัวไปรายงานต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในความเกี่ยวพันกับพรรคอนาคตใหม่
จากการแถลงข่าวแสดงความเห็นกรณีพรรคไทยรักษาชาติถูกสั่งยุบ
สองวันหลังจากนั้นผู้แจ้งความได้เปลี่ยนเป็นข้อกล่าวหาทางอาญาแทน
พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ เป็นเจ้าหน้าที่ของ
คสช. เพื่อการฟ้องร้องคดีต่อผู้ที่แสดงความเห็นโต้แย้ง ต่อต้าน การรัฐประหารและ
คสช.มาโดยตลอดนับเป็นร้อยๆ คดี นี่เป็นวิธีการสงครามจิตวิทยาทางการทหารอย่างหนึ่ง
ที่ คสช.ใช้กำหราบ กีดกัน และกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
ข้อหาที่ใช้กระหน่ำเลขาฯ พรรคอนาคตใหม่ครั้งนี้ก็คือ
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๙๘ เรื่องการดูหมิ่นศาล ซึ่งมีระวางโทษจำคุก ๑-๗
ปี และ/หรือ ปรับ ๒ พันถึง ๑ หมื่น ๔ พันบาท
อีกข้อหาเป็นความผิดตาม พรบ. คอมพิวเตอร์
มาตรา ๑๔(๒) ซึ่ง คสช.มักใช้เสมอกับผู้แสดงความเห็นขัดแย้งกับ คสช.
มีระวางโทษอยู่ที่ คุก ๕ ปี หรือปรับไม่เกิน ๑ แสน หรือรวมกัน ข้อสำคัญ อันนี้เป็นความผิดที่ยอมความไม่ได้
ในฐานะที่ผู้ต้องหาเป็นนักกฎหมายด้วยตัวเอง
(แม้จะเป็นสาขามหาชน) จึงน่าจะฟังความเห็นโต้แย้งของเขาดูบ้าง ปิยบุตรชี้ว่าข้อหาดูหมิ่นศาลที่
พ.อ.บุรินทร์เป็นผู้ฟ้องนั้นเป็นความผิดที่อ้างว่ากระทำต่อศาลรัฐธรรมนูญ
กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความของปิยบุตร
จึงได้ถามกลับพนักงานสอบสวนว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญรับเป็นผู้เสียหายหรือเปล่า
ศาลรัฐธรรมนูญปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้ ข้อสงสัยจึงไม่เพียงแต่ว่า คสช.เดือดร้อนอะไรนักหนา
ที่จะต้องมาฟ้องร้องแทน
ช่วยไม่ได้ที่จะทำให้ผู้คนสงสัยว่าเป็นการกลั่นแกล้ง
หรือแม้แต่หวังผลสกัดตัดตอนคู่แข่งการเมือง
ปิยบุตรตั้งข้อสังเกตุอีกว่า ถ้า คสช.
ถือตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ (และรัฐบาล) จะมีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการที่หัวหน้า คสช.
เป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ด้วยใช่ไหม อีกทั้งต่อไปข้างหน้า
รัฐบาลมิต้องมีหน้าที่คอยฟ้องคดีดูหมิ่นศาลอยู่ร่ำไป ฉะนั้นเหรอ
“ในอดีตที่ผ่านมา เราไปตรวจสอบแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาพบว่า
ความผิดฐานดูหมิ่นศาลส่วนใหญ่ผู้พิพากษาเป็นคนริเริ่มร้องทุกข์ แทบจะไม่เคยปรากฏว่ามีนายดำนายแดงไปแจ้งความแบบนี้
หรือองค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นไม่เคยไปร้องทุกข์กล่าวโทษ”
ปิยบุตรยังบอกฝากไปถึง ‘นักการเมืองที่มาจากการยึดอำนาจ’ ด้วยว่า
นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งนั้น เขามีน้ำอดน้ำทนกันได้ทุกอย่าง “ต้องอดทนอดกลั้นกับการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง”
ไฉนทหารนักการเมืองจึงไม่คิดจะทนบ้าง
ดังจะเห็นว่าทั้งปิยบุตรเอง
และธนาธรหัวหน้าพรรคถูกโหมโจมตีทั้งในทางสื่อโซเชียลและหนังสือพิมพ์ปฏิกิริยา เช่น
ไทยโพสต์ แนวหน้า และมากที่สุดคือสื่อ ‘เนชั่น’
“หลายเรื่องที่เป็นข้อความที่ทำให้เกิดการเกลียดชัง (Hate
Speech) หลายเรื่องเป็นการกล่าวเท็จ หลายเรื่องเป็นการใส่ร้ายป้ายสี”
ทำไมพวกเขาต้องทน และทนได้
นักการเมืองที่มาจากการยึดอำนาจหนักไปทาง ด้านได้หรือไง
(ข้อมูลหลายส่วนจาก https://voicetv.co.th/read/MNpDJiUTB และ https://www.bbc.com/thai/47958604?SThisFB&fbclid_syDxo)