วันศุกร์, เมษายน 26, 2562

อุทธาหรณ์คดีธนาธร ถ้าทำได้ครบถ้วนกระบวน ‘นิติมาร’ ต่อไปแม้แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่รอด

ช่วงนี้ข่าวเกี่ยวกับคดีความของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกจะดังโด่ง จนทำให้ผู้สนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยอื่นเหนื่อยร้าระอา (หรือแม้แต่แอบหมั่นไส้ ดังที่มีคนไปรอต้อนรับเขาเดินทางกลับจากยุโรปเนืองแน่นสนามบิน) แต่ก็ไม่อาจวางเฉยเสียได้

เพราะสิ่งที่ธนาธรและพรรคอนาคตใหม่กำลังถูกรุกล้ำคุกคามจะเกิดกับพรรคอื่นได้ไม่ยาก ประดุจดังนี่เป็นกรณีทดลอง หากงานนี้สำเร็จ ต่อไปแม้แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่รอด บัดนี้จึงเป็นเวลาสำคัญที่จะต้องตัดสินเข้าร่วมต่อสู้ หรือ อยู่เป็น

รูปการณ์ขณะนี้ดูทีเหมือนว่าธนาธรจะไม่รอด ใบส้มเป็นอย่างน้อย นั่นก็คือพรรคอนาคตใหม่จะไม่มีหัวหน้าพรรค และธนาธรไม่ได้เป็น ส.ส. เป็นเวลา ๑ ปี นอกเหนือจากนั้นจะมีการดำเนินคดีอื่นกับเขาเพื่อให้หมดสิทธิยุ่งเกี่ยวการเมืองอีก ๒๐ ปี

เฉพาะคดีหุ้นสื่อที่แม้ข้อต่อสู้จากผู้ถูกกล่าวหาจะยืนยันอย่างไรว่าขายหุ้นออกไปก่อนลงสมัครรับเลือกตั้ง ตลอดเวลาไม่ถึงเดือนที่เรื่องนี้เป็นประเด็นขึ้นมาจากการ ชง ของ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผอ.ใหญ่ สำนักข่าวอิศรากัดติดด้วยบทความแจงผิด

แจ้งโทษธนาธรไม่เว้นแต่ละวัน เฉลี่ยวันละ ๑.๗๖ บทความ ดังเช่นบทที่ว่าถ้าธนาธรถูกตัดสินว่าผิด จะต้องถูกจำคุก ๑-๑๐ ปี และตัดสิทธิทางการเมืองถึง ๒๐ ปี

ซ้ำมีข่าวล่าออกมาจากใน กกต. อีกว่า ธนาธรอาจโดนคดีที่สอง ฐาน “ลงนามเอกสารรับรองส่งผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ที่ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้ง” ด้วย จากกรณีนายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัคร ส.ส.เขต ๒ จ.สกลนคร ของพรรค “ถูกศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำสั่งถอนชื่อออกจากประกาศรายชื่อผู้สมัคร”

จึงไปเข้าข่ายความผิดตามมาตรา ๔๒ วรรค ๒ ของ พรป.พรรคการเมือง ถือเป็นความผิดของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค “จะต้องมีกระบวนการเอาผิดทางอาญากับหัวหน้าพรรค” ด้วยโทษฐานให้ความช่วยเหลือ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๔ และมาตรา ๘๖


หรือเลยเถิดไปกระทั่งมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ ตามข้อเสนอแนะของเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตประธานกรรมาธิการด้านการเมืองของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (หนึ่งในมือตีนของ คสช. ในการบีบบังคับประชาชนด้วยข้อกฎหมาย)
 
นายเสรีฉวยจังหวะกระโจนเข้ามาในวงดีเบทด้วยอีกคนเมื่อ ๒๕ เมษายน ด้วยบทความจงใจชี้ช่องทางเอาผิดต่อธนาธรให้หนักกว่าที่เห็นๆ กัน ว่า “ที่มาออกตัวกันว่าการขาดคุณลักษณะต้องห้ามสมัคร สส. ไม่ใช่เป็นเรื่องทุจริตเลือกตั้ง นั้นไม่จริง”

เขายกเอาเนื้อถ้อยในบทบัญญัติมาตรา ๕๔ วรรคสอง ของ พรป.เลือกตั้ง ส.ส.มาประกบเข้ากับมาตรา ๑๓๒ ว่า ความผิดฐานขาดคุณสมบัติเข้ารับเลือกตั้ง (เช่นถือหุ้นสื่อ ในกรณีของธนาธร) ถือเป็น “การปกปิดหรือไม่แจ้งข้อเท็จจริงเรื่องคุณลักษณะต้องห้าม”

ทำให้ กกต.สามารถสั่งระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งบุคคลนั้นไว้ ๑ ปี ได้ (ใบส้ม) ตามมาตรา ๑๓๒ วรรคแรก แล้วยังต้องโดนอีกหนึ่งเด้งด้วยมาตรา ๕๔ ที่ว่า “ให้ถือว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม”

เด้งสองนี่อยู่ในมาตรา ๑๓๒ วรรคสาม “ให้ กกต.เสนอศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรคนั้นได้ด้วย” ตามด้วยวรรค ๕ “และยังอาจถูกดำเนินคดีอาญา” แถมมาตรา ๑๓๘ อีกหน่อยว่า “กกต.ยังมีอำนาจหน้าที่ในการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น”


คือถ้าทำได้ครบถ้วนกระบวน นิติมารก็สามารถตัดกำลังฝ่ายประชาธิปไตย (หรือพวกสัตยาบัน ๗ พรรค) ได้อีก ๘๐ เสียงในสภา จาก ๒๔๘ เหลือ ๑๖๘ ทีนี้พรรคพลังประชารัฐและเพื่อนพ้องลิ่วล้อ คสช. นอกจากจะได้ เฮียตู๊บของพวกเขาเป็นนายกฯ แล้วยังปกครองต่อไปได้สะดวกโยธิน