ช่วงนี้ข่าวเกี่ยวกับคดีความของ ธนาธร
จึงรุ่งเรืองกิจ ออกจะดังโด่ง
จนทำให้ผู้สนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยอื่นเหนื่อยร้าระอา (หรือแม้แต่แอบหมั่นไส้
ดังที่มีคนไปรอต้อนรับเขาเดินทางกลับจากยุโรปเนืองแน่นสนามบิน) แต่ก็ไม่อาจวางเฉยเสียได้
เพราะสิ่งที่ธนาธรและพรรคอนาคตใหม่กำลังถูกรุกล้ำคุกคามจะเกิดกับพรรคอื่นได้ไม่ยาก
ประดุจดังนี่เป็นกรณีทดลอง หากงานนี้สำเร็จ ต่อไปแม้แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่รอด บัดนี้จึงเป็นเวลาสำคัญที่จะต้องตัดสินเข้าร่วมต่อสู้
หรือ ‘อยู่เป็น’
รูปการณ์ขณะนี้ดูทีเหมือนว่าธนาธรจะไม่รอด ‘ใบส้ม’ เป็นอย่างน้อย
นั่นก็คือพรรคอนาคตใหม่จะไม่มีหัวหน้าพรรค และธนาธรไม่ได้เป็น ส.ส. เป็นเวลา ๑ ปี
นอกเหนือจากนั้นจะมีการดำเนินคดีอื่นกับเขาเพื่อให้หมดสิทธิยุ่งเกี่ยวการเมืองอีก
๒๐ ปี
เฉพาะคดีหุ้นสื่อที่แม้ข้อต่อสู้จากผู้ถูกกล่าวหาจะยืนยันอย่างไรว่าขายหุ้นออกไปก่อนลงสมัครรับเลือกตั้ง
ตลอดเวลาไม่ถึงเดือนที่เรื่องนี้เป็นประเด็นขึ้นมาจากการ ‘ชง’ ของ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผอ.ใหญ่ สำนักข่าวอิศรากัดติดด้วยบทความแจงผิด
แจ้งโทษธนาธรไม่เว้นแต่ละวัน เฉลี่ยวันละ
๑.๗๖ บทความ ดังเช่นบทที่ว่าถ้าธนาธรถูกตัดสินว่าผิด จะต้องถูกจำคุก ๑-๑๐ ปี
และตัดสิทธิทางการเมืองถึง ๒๐ ปี
ซ้ำมีข่าวล่าออกมาจากใน กกต. อีกว่า ธนาธรอาจโดนคดีที่สอง
ฐาน “ลงนามเอกสารรับรองส่งผู้สมัคร
ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ที่ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้ง” ด้วย จากกรณีนายภูเบศวร์
เห็นหลอด ผู้สมัคร ส.ส.เขต ๒ จ.สกลนคร ของพรรค “ถูกศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำสั่งถอนชื่อออกจากประกาศรายชื่อผู้สมัคร”
จึงไปเข้าข่ายความผิดตามมาตรา ๔๒ วรรค ๒
ของ พรป.พรรคการเมือง ถือเป็นความผิดของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค “จะต้องมีกระบวนการเอาผิดทางอาญากับหัวหน้าพรรค”
ด้วยโทษฐานให้ความช่วยเหลือ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๔ และมาตรา ๘๖
(http://news.thaipbs.or.th/content/279512dkSwtDA และ
https://www.isranews.org/isranews/75867-isranews87-75867.html1dKbo)
หรือเลยเถิดไปกระทั่งมีการยุบพรรคอนาคตใหม่
ตามข้อเสนอแนะของเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตประธานกรรมาธิการด้านการเมืองของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
(หนึ่งในมือตีนของ คสช. ในการบีบบังคับประชาชนด้วยข้อกฎหมาย)
นายเสรีฉวยจังหวะกระโจนเข้ามาในวงดีเบทด้วยอีกคนเมื่อ
๒๕ เมษายน ด้วยบทความจงใจชี้ช่องทางเอาผิดต่อธนาธรให้หนักกว่าที่เห็นๆ กัน ว่า “ที่มาออกตัวกันว่าการขาดคุณลักษณะต้องห้ามสมัคร
สส. ไม่ใช่เป็นเรื่องทุจริตเลือกตั้ง นั้นไม่จริง”
เขายกเอาเนื้อถ้อยในบทบัญญัติมาตรา ๕๔
วรรคสอง ของ พรป.เลือกตั้ง ส.ส.มาประกบเข้ากับมาตรา ๑๓๒ ว่า ความผิดฐานขาดคุณสมบัติเข้ารับเลือกตั้ง
(เช่นถือหุ้นสื่อ ในกรณีของธนาธร) ถือเป็น “การปกปิดหรือไม่แจ้งข้อเท็จจริงเรื่องคุณลักษณะต้องห้าม”
ทำให้
กกต.สามารถสั่งระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งบุคคลนั้นไว้ ๑ ปี ได้ (ใบส้ม) ตามมาตรา
๑๓๒ วรรคแรก แล้วยังต้องโดนอีกหนึ่งเด้งด้วยมาตรา ๕๔ ที่ว่า “ให้ถือว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม”
เด้งสองนี่อยู่ในมาตรา ๑๓๒ วรรคสาม “ให้
กกต.เสนอศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรคนั้นได้ด้วย” ตามด้วยวรรค ๕ “และยังอาจถูกดำเนินคดีอาญา”
แถมมาตรา ๑๓๘ อีกหน่อยว่า “กกต.ยังมีอำนาจหน้าที่ในการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น”