วันพุธ, เมษายน 24, 2562

กกต.แจ้งข้อหาธนาธรมีหุ้นสื่อ หมายแจกใบส้มตัดสิทธิเป็น ส.ส. ๑ ปี


ฟัน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จนได้ (ลือกันว่าไม่รู้ใครสั่ง ไม่ให้เข้าสภา) กกต.จึงมีมติให้แจ้งข้อกล่าวหา มาตรา ๙๘(๓) ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และ พรป.เลือกตั้ง ส.ส. มาตรา ๔๒(๓) โทษฐานเป็นเจ้าของหุ้นสื่อมวลชน บริษัท วี-ลัค มีเดีย

ก่อนหน้านี้นิดเดียวมีข่าวเล็ดออกมาว่าคณะอนุกรรมการที่ กกต.ตั้งขึ้นมาสำหรับทำเรื่องธนาธรมีหุ้นสื่อนี่ เถียงกันหนัก จนประธานอนุกรรมการชุดนี้ประกาศลาออก เหตุที่เถียงก็คือ “มีความพยายาม กดดันเพื่อให้มีการลงมติแจกใบส้มแก่นายธนาธร โดยเท่ากับมีผลตัดสิทธิการเป็น ส.ส. ๑ ปี”

แถลงแจ้งของ กกต. อ้างว่า มีผู้ร้องเรื่องธนาธร “มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามบทบัญญัติ” กฎหมายสองฉบับดังกล่าวข้างต้น

ผู้ร้องนี่นอกจาก ศรีสุวรรณ จรรยา ที่เอาประเด็นของสำนักข่าวอิศรามาอ้าง ว่าการเดินทางจากบุรีรัมย์เข้ากรุงเทพฯ เพื่อทำนิติกรรมโอนหุ้น ซึ่งธนาธรอ้างว่าแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๒ นั้นเป็นไปไม่ได้ ก็คงจะสำนักข่าวอิศราเองนี่ละ

เพราะ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ คนใหญ่ของสถาบันอิศรา จิกติดเรื่องหุ้นวี-ลัคของธนาธรมาตั้งแต่เมื่อต้นเดือนเป็นอย่างน้อย อดีตนายกสมาคมนักข่าวฯ คนนี้เขียนบทความตั้งข้อสงสัยด้วยตนเองเลยเชียวว่า ทำไมธนาธรโอนหุ้นให้แม่แล้วแม่โอนต่อให้หลาน แล้วหลานโอนกลับให้แม่อีก

เสียทั้งเวลา ยุ่งยากทั้งเรื่องเอกสาร และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะค่าจ้างทนายความโนตารี หรือเป็นวิสัยของนักธุรกิจระดับหมื่นล้านที่คนทั่วไปยากจะเข้าใจ” ข่าวอิศราเช่นกันที่เล่นประเด็นการเดินทางจากบุรีรัมย์เข้ากรุง น่าจะใช้เวลา ๕ ชั่วโมง ๒๗ นาฑีถึงด่านธัญบุรี ธนาธรนั่งรถตู้ออกตอนบ่ายไหงถึงเร็วนัก
ในเมื่อทั้งปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคแถลงแทนระหว่างธนาธรเดินทางดูงานในยุโรป และทนายความของธนาธรยืนยันว่า วันที่ ๘ มกรา “ธนาธรอยู่บรีรัมย์จริงแค่ช่วงเช้า กลับมาเซ็นโอนตอนเย็น”
 
มีการจับภาพจากไทยรัฐออนไลน์ตั้งแต่ธนาธรปราศรัยเมื่อ ๙ โมงเช้า จนถึงภาพสุดท้ายที่แจงว่า สาขาพรรคอนาคตใหม่บุรีรัมย์โพสต์ภาพธนาธรเยี่ยมตลาดสดเทศบาล อ.สตึก เมื่อเวลา ๑๗.๒๔ น. ทำให้พวกสนับสนุน คสช.กรี๊ดก๊าดกันใหญ่ว่าจับผิดได้แล้ว
ที่ไหนได้ ไม่ยักสำเหนียกกันบ้างว่าเวลาที่ทำการโพสต์ภาพ กับเวลาจริงของเหตุการณ์ที่ภาพจับไว้ ไม่จำเป็นต้องตรงกันได้ ถ่ายไว้แล้วเอาไปโพสต์อีก ๕ ชั่วโมงให้หลังก็ได้ มิน่าเขาถึงเรียกวิธีคิดอย่างนั้นว่า สติปัญญาสลิ่ม
แน่นอนว่าทางฝ่ายพรรคอนาคตใหม่มั่นใจไม่มีอะไรที่จะอ้างความผิดได้ (เว้นแต่ กกต.และผู้สมคบคิด จะตะแบงเช่นที่กำลังทำ) ปิยบุตรพูดแล้ว ชำนาญ จันทร์เรือง เพิ่งพูดที่ลอส แองเจลีส รอธนาธรอีกคนบอกว่าจะเร่งเดินทางกลับไปตอบโจทก์
คราวนี้มาดูประเด็นเกี่ยวข้องข้อกฎหมายที่คนอื่นๆ ช่วยกันพูดแทนบ้าง หนึ่งในนั้น เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง นักวิชาการกฎหมาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนไว้บนหน้าเฟชบุ๊คของเขา “เรื่องห้ามนักการเมืองเป็นเจ้าของสื่อ เกิดขึ้นในการร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐

โดยคณะกรรมาธิการฯ อธิบายว่าเพื่อเพิ่มสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการจะเสพสื่อที่เป็นกลาง ปราศจากการครอบงำ” เขาถามว่าแล้วได้ผลไหม “คำตอบนี้ ดูหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ถ้าไม่หลอกตัวเองก็รู้แก่ใจกันดี ตั้งแต่แนวหน้า ทีนิวส์ ไทยโพสต์ ผู้จัดการ เนชั่น อิศรา เป็นอาทิ”

เขาเสริมอีกตอนว่า “มาตรานี้จึงถูกใช้ในกรณีประหลาด เช่น นิติบุคคลที่จดทะเบียนมีวัตถุประสงค์รวมถึงการทำสื่อ แต่ไม่ได้ทำจริง ก็ถูกตัดสิทธิ หรือเจ้าของสื่อที่ปิดกิจการไปแล้ว ก็ถูกแจ้งข้อกล่าวหา”

เขาปิดท้ายอย่างสรรพยอก “ใครส่อแววจะโกงแม้แต่นิดเดียวต้องลงโทษเอาให้หนัก ส่วนใครที่โกงอยู่แล้วชัดเจนก็แล้วไป เชิญตามสบาย”

อีกราย น้าถึก เจ้าเก่า อ้างถึง “คดีเมียตาเฒ่าดอนโอนหุ้นให้ลูก ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ การโอนหุ้นระบุชื่อให้ทำเป็นหนังสือ มีพยานอย่างน้อยหนึ่งคนลงชื่อรับรอง ก็สมบูรณ์แล้ว” อันนี้แกคงตอบ ประสงค์ ที่เขียนเรื่อง โนตารี ยืดเยื้อ
 
ทำไมการถือหุ้นสื่อโดยไม่มีสื่ออยู่จริง (บริษัทวี-ลัคที่ถูกสอบนี่เคยทำนิตยสารไฮโซ เลิกกิจการไปไม่น้อยกว่าสองปีแล้ว) ไม่ได้ใช้สื่อ...เป็นอะไรที่เลวร้ายกว่าการซื้อเสียง โกง ใช้อำนาจอิทธิพล อย่างนั้นหรือ (แกคงคิดถึงความสามารถพิเศษของพรรคพลังประชารัฐ)

Atukkit Sawangsuk ตั้งคำถามหนักด้วยว่า “แล้วอย่างเมีย ฉาย บุนนาค ไม่ได้ถือหุ้นสื่อ ไม่ได้ใช้สื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามเลยใช่ไหม (นี่) ก็แค่เขียนกฎหมายให้จุกจิกเข้าไว้ แล้วใช้เล่นงานฝ่ายตรงข้าม” ไม่เท่านั้นน้าถึกจัดต่อ

กรณีจะแจกใบส้มให้ธนาธร “กกต.ฉวยโอกาสใช้กฎหมายอย่างรวบรัด ในช่องโหว่ที่ตัวกฎหมายเลือกตั้งมันก็เขียนไว้อย่างอุบาทว์มาก ในเรื่องเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้ง” ตั้งแต่มาตรา ๕๒ ไป ๕๓ ยัน ๕๔ “กกต.ต้องการรวบรัด ปิดประตูแจกใบส้มธนาธรในช่วงที่ตัวเองมีอำนาจวินิจฉัย

เพราะถ้าเถียงกันเรื่องนี้ก่อนวันเลือกตั้งก็ต้องส่งศาลฎีกา ถ้าประกาศผลให้ธนาธรเป็น ส.ส.ไปก่อนก็ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ” แต่อย่าลืมว่าทั้งสามมาตรา “มันเขียนในส่วนผู้สมัคร ส.ส.เขต” เท่านั้นนะ ขณะที่ธนาธรเป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เข้าข่ายมาตราเดียว คือ ๖๑

ซึ่งเหมือน ม.๕๒ ให้ตรวจคุณสมบัติก่อนวันเลือกตั้ง “หลังวันเลือกตั้งไม่ได้ระบุไว้ ส่วนหลังประกาศผลก็แน่ละต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ” ฉะนั้นถ้า กกต.ยังดึงดันจะเอาผิดธนาธรด้วยตนเอง น้าถึกเขาว่า “ก็มีโอกาสที่จะฟ้อง กกต.ติดคุกได้นะ”