ดูเหมือนตู่เค้ามั่นใจนะว่าจะได้อยู่ยาว ๒๐
ปี แต่ถ้าเอาทฤษฎีชุบตัวด้วยเลือกตั้งมาอธิบาย มันใช้ไม่ได้
ในเมื่อเฮียประยุทธ์บอกว่า “ขอให้ฟังผมไว้ รัฐบาลนี้ยืนยันสิ่งต่างๆ ที่วางไว้
จะเดินหน้าต่อไปคราวละ ๕ ปีจนถึง ๒๐ ปีตามยุทธศาสตร์ชาติ”
ก็ถ้าจะอยู่ต่ออีก ๒๐
ปีด้วยการเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐเช่นที่เป็นอยู่ มันต้อง ๕
สมัย ได้ครั้งละ ๔ ปีเท่านั้น แต่นี่ทั่นจะเอาคราวละ ๕ ปี เลยงง
ถึงอย่างไรก็ช่างเถอะ ไอ้การพูดผิดมั่วซั่วของนายคนนี้เป็นของปกติเรื่องธรรมดา
แกอาจจะกำลังปลื้มมากจนลืมตัว หลังจากที่เพิ่งไปจูบปากกับสะเด็ดอัคคมหาเสนาบดีเดโช
ฮุน เซน มาหมาดๆ แล้วผู้ครองเมืองกัมปูเจียดูโหงวเฮ้งแล้วชื่นชมว่าตู่ควรอยู่ต่อ
จะไม่ให้ชมได้ไง นอกประยุทธ์ไปให้คำมั่น ‘ความเชื่อมโยง ๓ อย่าง’ ของสองชาติ มอบรถดีเซลรางเป็นของขวัญแก่กัมพูชา
๔ คัน เป็นการฉลองความสัมพันธ์แนบแน่นที่จะครบ ๗๐ ปีในปี ๒๕๖๓ ประยุทธ์ยังมอบซีดีเพลงแต่งเองอันดับ
๙ ให้ฮุนเซนด้วย
จากนั้นหัวหน้า คสช.
ประธานยุทธศาสตร์ชาติก็มาเปิดป้ายสถานีรถไฟด่านคลองลึกเชื่อมอรัญประเทศกับปอยเป็ต
จับไมค์พล่ามเรื่องความสงบเรียบร้อยอันดีงาม “ให้เลือกตั้งแล้วยังไม่สงบก็ไม่ได้”
ดังนั้นทุกคนต้องเคารพกฎหมาย ตามกติกาที่ คสช.วางไว้ให้
เอาละ ถ้าจะอยู่อีก ๒๐
ปีโดยไม่เหนียงยานเสียก่อนค่อยว่ากัน แต่ไอ้ที่จะอยู่ต่อสมัยหน้าอีกสี่ซ้าห้าปี
ไม่ว่าด้วยสถานใด แคนดิเดทพลังประชารัฐ นายกฯ คนนอก หรือเลือกตั้งไม่ผ่านเพราะแม้ดันตั้งรัฐบาลจนได้
แต่ฝ่ายค้านแข็งจะปกครองยาก ก็ตาม
แค่ปีหน้าประชาชนก็จะบักโกรกหนักกว่านี้
ตัวอย่างเบาะๆ ขึ้นค่ารถเมล์ เที่ยวนี้ ๑ บาท ๕๐ บ้าง ๒ บาทบ้าง
นึกหรือว่าครั้งเดียวพอ ในเมื่อปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความจำเป็นในการปรับต้นทุนมากเท่ากับกระเป๋าแห้งไม่มีเงินหนุนอีกแล้ว
เป็นธรรมดาของสาธารณูปโภคอันเป็นบริการรัฐ
ไม่มีที่ไหนในโลก (จะมีก็รายสองราย) ส่วนใหญ่รัฐจะเป็นผู้แบกภาระส่วนหนึ่งเสมอ
เพราะเป็นพันธะในการเป็นรัฐบาล
รายได้ชดเชยต้องมาจากส่วนอื่นที่เป็นผลประโยชน์เกี่ยวเนื่อง
แต่ของไทย โดยเฉพาะด้วยฝีมือกำกับของ คสช.
นอกจากถังแตกแล้ว “การอุดหนุนของรัฐในอนาคตต้องเกิดจากความพร้อมด้านข้อมูลที่ชัดเจน
ว่าควรอุดหนุนอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ใช่การอุดหนุนอย่างไร้เป้าหมาย”
จากข้อวิเคราะห์ของ ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่ง ทีดีอาร์ไอ ที่ว่า
ฃสมก.ขึ้นราคาส่งเดช โดย “ไม่รู้ต้นทุนที่แท้จริง และขาดการนำเสนอข้อมูลอย่างชัดเจน”
แล้วยังไม่มีสูตรคำนวณอย่างชัดเจนด้วย (เหมือนการทำงานของ กกต. เด๊ะ)
แต่แล้วพวกลิ่วล้อ คสช.ทำอย่างไร
แก้ผ้าเอาหน้ารอดไง ทั่นรองฯ ฝ่ายเศรษฐกิจเพิ่งออกมาประกาศแจกเงินอีกแล้ว
จะกลบข่าวภาษีอานได้หรือเปล่า คอยดูกันไป แต่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ประกาศว่าพฤษภานี้ มาตรการท่องเที่ยวเมืองรองเริ่ม
“เป็นการแจกเงินให้ประชาชนตั้งแต่อายุ ๑๕ ปีขึ้นไป
คนละ ๑,๕๐๐ บาท
เพื่อนำไปใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อีเพย์เมนท์”
เอาเงินจากงบกลางฯ ที่ สนช.ประเคนให้ไว้แล้วตั้งแต่ปลายปี ๖๑ จำนวน ๑.๕ หมื่นล้านบาท
กับยืดเวลามาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ
แว้ตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติต่อไปอีก ๖ เดือน ไปสิ้นสุดกันยายน ๖๒
นัยว่าเพราะสัญญานการฟื้นตัวเศรษฐกิจไม่ค่อยจะดี ดังที่รู้ๆ กันแล้วว่าแน่ๆ จีดีพีโตไม่ถึง
๔% อย่างที่คุยไว้ จะถึง ๓.๕
หรือเปล่ายังไม่กล้าฟันธง
งบกลางที่ถลุงไปปีนี้จะไปทับถมรายจ่ายปีหน้า
ประเภทส่วนเพิ่มจาก ‘ค่าโง่’ ต่างๆ ที่ตกค้างมาจากช่วงครองเมือง ๕ ปีของ คสช. ด้วย ตอนนี้เห็นๆ
อยู่แล้วที่ศาลปกครองสูงสุดสั่งให้ “รฟท.ต้องคืนเงินชดเชยให้กับบริษัทโฮปเวลล์ จากการบอกเลิกสัญญา
รวมเป็นเงิน ๑๑,๘๘๘ ล้านบาท โดยไม่รวมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี พร้อมคืนหนังสือค้ำประกันมูลค่า
๕๐๐ ล้านบาท ที่ออกโดยธนาคารกรุงเทพฯ” ทั้งนี้ศาลฯ ระบุว่าให้ชำระแล้วเสร็จภายใน
๑๘๐ วันนับแต่คดีถึงที่สุด
เป็นที่รู้กันดีว่าคดีโฮ้ปเวลล์ที่มีตอม่อคอนกรีตเป็น
‘Stonehenge Thailand’ อุจาดตามาสิบห้าปีนี้
บริษัทรับเหมาฮ่องกงของกอร์ดอน วู ได้สัมปทานไปแล้วทำการก่อสร้างอย่างล่าช้าจากปี
๒๕๓๒ ถึง ๒๕๔๐ ต้องหยุดกึกโดยปริยาย
รัฐบาลนายชวน
หลีกภัยบอกเลิกสัญญาเมื่อปลายปี ๔๐ แล้วถูกโฮ้ปเวลล์ฟ้องอนุญาโตตุลาการ
ตัดสินในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๑
แล้วศาลปกครองกลางของไทยเล่นเหลี่ยมวินิจฉัยในเดือนมีนา ๕๗ ว่า ยื่นฟ้องอนุญาโตฯ
เกินเวลาสัญญา
หลังจากโฮ้ปเวลล์อุทธรณ์เมื่อ เมษา ๕๗
ศาลปกครองสูงสุดเพิ่งตัดสินเมื่อ ๒๒ เมษายนนี้ ขณะ คสช.กำลังพยายามเปลี่ยนผ่านไปเป็นรัฐบาลเลือกตั้ง
ให้กระทรวงคมนาคมชดใช้ ซึ่งหมายความว่าจากเงินภาษีอากรของประชาชน
จัดว่าเป็นผลงานรัฐบาล คสช.อย่างหนึ่ง
ซึ่งเรื่องค่าโง่นี่ไม่ใช่เพียงคดีโฮ้ปเวลล์เท่านั้นยังมีคดีเหมืองทองอัครา
ที่จะเป็นค่าโง่จากการที่ประยุทธ์ใช้ ม.๔๔ สั่งปิดสุ่มสี่สุ่มห้าอีกราย จะเป็นกี่หมื่นล้านตัวเลขยังไม่นิ่งเหมือนคะแนนดิบ
กกต.