ขณะที่กรรมการเลือกตั้งยังแกว่งผลคะแนนไม่หยุดหย่อน
เกิดผลตัดที่นั่งสภาของฝ่ายไม่เอาสืบทอดอำนาจ คสช. นายของ กกต.
เศรษฐกิจประเทศก็ยิ่งบักโกรกหนักลง คำถามนี้มีคำตอบ ‘โน’ ที่ยิ่งดังลั่นขึ้นไปอีก
ดังคอมเม้นต์บนทวี้ตของ independence @redbamboo16 “จะให้ลุงตู่อยู่ต่ออีกหรือ”
เรื่องก็คือ การนับคะแนนใหม่นครปฐมเขต ๑
ที่ผลแกว่งไปแกว่งมาแล้วมาลงเอยพรรคอนาคตใหม่ชนะพรรคประชาธิปัตย์ ๖๒ คะแนน
เพียงข้ามคืน กกต.แกว่งต่อเมื่อพรรค ปชป.ท้วงว่าไม่ใช่ ผู้สมัครพรรคตนต้องได้คะแนนมากกว่า
กกต.เลยกลับไปคุ้ย (‘ถังขยะ’ ฮ่าฮ่า) ใหม่
พบว่าคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์ที่เขต ๒๕
จำนวน ๖๖ คะแนน เจ้าหน้าที่กรอกผิด ดันส่งไปใส่ให้พรรคประชาภิวัฒน์เสียนี่ หลังจากขอคืนมาให้กับผู้สมัครหมายเลข
๒ เขต ๑ แล้ว จึงทำให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นผู้ชนะพรรคอนาคตใหม่ ๔ คะแนน
อ่านรายละเอียดการนับคะแนนแบบ ‘ร็อคแอนด์โรล’ คราวนี้ได้ที่ https://workpointnews.com/2019/04/29/incredible
ballots count/Thailandia
อนาคตใหม่ว่าไรต่อยังไม่รู้ แต่ข้อที่เลขาฯ
พรรคเขาเรียกร้องควรรีบทำ ให้ กกต.เปิดเผยผลคะแนนดิบรายเขตทั้งหมดในทันที ก่อนที่ความชุลมุนอันก่อฝุ่นพิษทางการเมืองจะฟุ้งเสียจน
ส่งผลให้นักธุรกิจ นักลงทุนต่างประเทศหวาดหวั่นกันหนักกว่านี้
ไหนจะบรรยากาศฟัดกันนัว ฟ้องกันมั่ว
ประเด็น กม.ว่าด้วยการครอบครองหุ้นในสื่อของผู้สมัคร ส.ส. “กำลังถูกใช้อย่างสะเปะสะปะ
เลือกปฏิบัติ และขัดเจตนารมณ์ของกฏหมาย ไม่น่าเชื่อว่าสังคมหลงทางกับเรื่องนี้มาไกลขนาดนี้”
จากข้อคิดของ prajak
kong @bkksnow ต่อข่าวประชาไทซึ่ง “พบว่าที่ ส.ส.เพื่อไทย จ.สกลนคร
ที่ถูกยื่นสอบคุณสมบัติ เคยเป็นเจ้าของร้านพิมพ์อิงค์เจ็ท เลิกกิจการไปแล้ว ๕-๖ ปี”
อันนี้ฝีมือ ‘ปูด’ ของสำนักข่าวอิศรา อีกละ (https://prachatai.com/journal/2019/04/82240)
ก็ยังใช้หาเรื่องตัดสิทธิ
ตัดแขนขาทางการเมืองกัน เพื่อฟอกผิวให้พรรคพลังประชารัฐ ที่โดนฟ้องไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง
กกต.ยังไม่ได้ฤกษ์เปิดคดี แถมบางคดีอย่าง ‘เลี้ยงโต๊ะจีนระดมทุน’ แบะท่าว่าถ้าเงินบริจาคหากผิด
กม. แต่ถ้ายังไม่ได้เข้าบัญชีก็รอดได้เสียด้วย
พวกลิ่วล้อ
คสช.ล้วนทำเฉย เข้าหูซ้ายออกหูขวา ตาบอดตาใส
กับภาวะเศรษฐกิจที่แต่ละวันมีแต่จมปลักกับหนี้สิน มองไม่เห็นทางหารายได้มาชดใช้
ผู้บริหารระดับชาติได้แต่สร้างวิมานในอากาศ (ปราศจากเมฆ -‘วิมานเมฆ’ กำลังจะถูกรื้อ)
ให้ประชาชน ขณะที่เจ้าสัวสร้างตึกระฟ้ากัน
ก็ในเมื่อหนี้สินรากหญ้ายังพอกหางหมู
แต่รายได้เท่าเดิม แล้วหนี้สินชาติจะแก้ไขได้เพียงใด
ในเมื่อรายได้ของเจ้าสัวนั่นกำไรล้วนๆ ยิ่งกิจการใหญ่พวกหุ้นส่วนประชารัฐทั้งหลาย
ยิ่งมีดีลดีหักภาษี ลดค่าธรรมเนียมต่างๆ เพียบ
ส่วนผู้ใช้แรงงานหาเช้ากินค่ำนั้นเล่า
เวลานี้กว่า ๗๒ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งรายได้เฉลี่ยต่อเดือนราวหมื่นบาทถึงหมื่นห้า
มีรายจ่ายตก ๔๖% ของรายรับ ทำให้กว่า ๘๒% ของแรงงานเหล่านี้ไม่มีเงินออม แถมราว ๖๕%
ยังไม่มีอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ด้วย
นั่นมาจากผลสำรวจสถานภาพของแรงงานไทยโดยมหาวิทยาลัยหอการค้า
ที่เพิ่งออกมาระบุว่า ภาวะหนี้ครัวเรือนในปัจจุบันขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก ๑๕% จากปีที่แล้ว เป็นตัวเงินประมาณ ๑๕๘,๐๐๐ บาท วัดเป็นอัตราร้อยละสูงมากถึง
๙๕
ผู้ทำวิจัยอธิบายว่าปัญหาหนี้สะสมเพิ่มนี้เกิดจากแรงงานไทยรายได้คงเดิมไม่เพิ่ม
แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่ม ของใช้จำเป็นมากขึ้นและขึ้นราคา อัตราดอกเบี้ยสูง
แรงงานจึงต้องดึงเงินออกมาใช้หมด หยิบยืมญาติพี่น้องทั่วแล้วต้องหันไปกู้เพิ่ม
“หนี้สินในระบบสูงถึง ๕๘.๒% เฉลี่ยการผ่อนชำระ ๗,๑๓๘ บาทต่อเดือน
นอกระบบ ๔๑.๘% เฉลี่ยการผ่อนชำระ ๔,๐๒๘ บาทต่อเดือน” จนทำให้ “ส่วนใหญ่ ๘๐.๓% เคยผิดนัดชำระหนี้” ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา
รวมความว่าแรงงานไทย ๖๓.๘% ตกอยู่ในสภาพ ‘รายได้ไม่พอกับรายจ่าย’
แล้วอย่างนี้ยังจะดันทุรังให้ ‘ไอตู๊บ ๔.๐’ อยู่ต่ออีก ๕-๒๐ ปีเชียวหรือ