ข่าวดีนะข่าวดี ไตแลนเดียหลุดพ้นจากวังวนความยากเร้นแล้วละ
ธนาคารโลกว่างั้น หลังจากมีการจัดกลุ่มประเทศไทยอยู่ในหมู่ชาติมั่งคั่งของเอเซียตะวันออก
อันรวมทั้งมาเลย์เซียและมองโกเลียด้วย
ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากประเทศไทยสามารถผลักดันกลุ่มชนที่ตกอยู่ในภาวะ
‘อดหยาก’ ไปสู่ฐานะทางเศรษฐกิจที่มั่นคงขึ้นได้
นั่นคือกลายเป็นชนชั้นกลาง (และบ้างก็มั่งมี) อันเป็นกลุ่มชนขนาดใหญ่ของประเทศขณะนี้
“ประเทศไทยสามารถให้ความสำคัญแก่จุดมุ่งหมายในชีวิตของชนชั้นกลางก่อนอย่างอื่นๆ
ได้แล้ว” ธนาคารโลกกล่าวไว้ในรายงานเรื่อง “เกาะกระแส :ปาฏิหาริย์ของเอเซียตะวันออกในศตวรรษที่ ๒๑” ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์วันนี้
(๘ ธันวา)
แต่ว่า “สิ่งแรกที่ต้องทำคือการสร้างความพึงพอใจให้แก่ชนชั้นกลาง
ในจุดมุ่งหมายแห่งชีวิตที่ชนกลุ่มนี้ใฝ่หาและเรียกร้อง เกี่ยวกับบริการสาธารณะในด้านสุขภาพและการศึกษา
อันจะเป็นปัจจัยส่งเสริมภาวะการดำรงชีวิตที่ดียิ่งขึ้นไป” รายงานระบุ
“ความจำเป็นอันดับสองอยู่ที่ต้องจัดทำการปฏิรูปในเรื่องที่จะลดช่องว่างระหว่างชนบทและเมืองให้แคบเข้า
กับขจัดความไม่เท่าเทียมทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระหว่างภูมิภาคให้หมดไป”
รายงานธนาคารโลกเสริมว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์โดยตรงกับชนชั้นกลาง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นภูมิคุ้มกันไม่ให้เกิดอาการกระตุกช็อคโดยระบบขึ้นได้
ข้อสรุปต่อการสลัดพ้นภาวะ ‘ยากไร้’ ของประชาชนไทยโดยธนาคารโลกครั้งนี้ เป็นการวัดผลต่อเนื่องมาเป็นเวลา
๒๐ ปี ซึ่งนายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สศช.) คนปัจจุบัน อ้างว่าเป็นผลของการเติบโตทางเศรษฐกิจและการวางนโยบายกระตุ้นการเพิ่มรายได้ตลอดมา
อย่างไรก็ดีในสถานการณ์ปัจจุบัน รายงานของ
สศช. เองเพิ่งเปิดเผยสถิติย้อนแย้งกับภาพลักษณ์เล็กน้อย ว่าในไตรมาสที่สามของปีนี้
อัตราการจ้างงานในประเทศลดลง ดันให้ยอดคนว่างงานเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็นอัตราร้อยละ
๑.๑๙ หรือเท่ากับจำนวนคนว่างงานเพิ่มอีกเกือบ ๕ แสนคน
สถิติการว่างงานดังกล่าวของสภาพัฒน์ฯ วัดจากการลดลงของกำลังแรงงาน
๓๘.๒ ล้านคนในไตรมาสเดียวกันเมื่อปี ๒๕๕๙ มาเป็น ๓๗.๖ ล้านคนในปีนี้ สภาพัฒน์ฯ
อ้างว่าการจ้างงานลดครั้งนี้เนื่องจากปัญหาอุทกภัยในช่วงเดือนกรกฎา-สิงหาที่ผ่านมา
(แม้นว่าปัญหาน้ำท่วมยังคงหนักหน่วงอยู่ขณะนี้ในท้องที่หลายจังหวัดภาคใต้
ทั้งปัตตานี นราธิวาส พังงา สงขลา เป็นต้น
มีผู้ที่เดินทางโดยเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดภาคใต้แจ้งว่า มองจากเครื่องบินยังเห็นแอ่งน้ำท่วมตกค้างอยู่อีกมากมายในพื้นที่ภาคกลางด้วย)
ประการสำคัญจำนวนคนว่างงานที่เพิ่มขึ้นครั้งนี้
“ส่วนใหญ่ร้อยละ
๖๕ มีการศึกษาต่ำกว่าระดับมัธยมปลาย
ซึ่งกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะว่างงานก่อนกลุ่มอื่นและหางานยากขึ้น
เพราะเทคโนโลยีมีความก้าวหน้า สามารถทำงานซ้ำๆ แทนคนได้”
ปัจจัยสำคัญอันหนึ่งในความเห็นของนักวิจัยธนาคารโลก
ในอันที่ประเทศไทยจะพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อรักษาภาพลักษณ์สังคมชนชั้นกลางไว้ต่อไปข้างหน้า
คือต้องผลิตแรงงานระดับทักษะสูงให้เพียงพอกับการลงทุนอุตสาหกรรมด้านไฮเท็ค
ซึ่งไทยยังขาดแคลน
การผลิตทางอุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วนอีเล็คโทรนิคที่เคยมีอยู่พอประมาณ
แต่ถอนไปนับแต่วิกฤตน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี ๒๕๕๔-๕๕ และหดหายหนักขึ้นในช่วงสามปีที่ผ่านมาภายใต้การครองเมืองของ
คสช. ก็ยังไม่มีทีท่าจะกระเตื้องหรือวาดหวังได้ว่าจะกลับคืนมา
หากสภาพทางการเมืองและสังคมยังคงจมปลักกับการปกครองเบ็ดเสร็จห้ามตรวจสอบและกดขี่ความเห็นต่างต่อไป
รายงานของสื่อสิ่งพิมพ์ออนไลน์ ‘เดอะสแตนดาร์ด’ ชิ้นล่าสุดเรื่องการ “เปิดสองโครงการขนาดใหญ่มูลค่ากว่า ๑.๕ พันล้านเหรียญ หรือราว ๕ หมื่นล้านบาทในเขตอุตสาหกรรมไฮฟอง
ประเทศเวียดนาม” ของบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับโลกแบรนด์ ‘LG’ ที่ “ตอกย้ำภาพการย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทย” เป็นแนวโน้มที่ไม่ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์การหลุดพ้นภาวะอดอยากของประเทศไทยแม้แต่นิด
บริษัทแอลจี
ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคด้านอีเล็คโทรนิคและเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมข้ามชาติขนาดยักษ์ของเกาหลีใต้เจ้านี้มีโรงงานผลิตเครื่องซักผ้า
เครื่องปรับอากาศ และเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กอยู่ที่จังหวัดระยอง
ได้เริ่มย้ายฐานการผลิตโทรทัศน์ออกจากไทยไปยังเวียดนามตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ เป็นต้นมา
การเปิดโรงงานใหม่ขนาดใหญ่ในเวียดนามย่อมตอกย้ำการไม่กลับมายิ่งขึ้น
นั่นคือประชากรส่วนหนึ่งซึ่งยังอยู่ในระดับ
‘ยากจน’ จำนวน ๒๙ ล้านคน อันประกอบด้วยผู้ใช้แรงงานและเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่
ก็ยังมองไม่เห็นเวลา ‘ลืมตาอ้าปาก’ ในยุค
คสช.นี้ และต่อไปอีกไม่รู้กี่ปีในระหว่างการบังคับใช้ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปีของ คสช.
ในส่วนของเกษตรกร
นับแต่วิกฤตราคาข้าว ราคายางพารา ๓ กิโลร้อย ที่หัวหน้า คสช. บอกให้ชาวสวนยางปลูกปาล์มน้ำมันแทนสิ
ปาล์มก็ (ไม่) บังเอิญราคาตกเหมือนกัน ไม่กี่วันมานี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
พ่นน้ำลายปนเสียงปรี๊ดให้ชาวสวนยางเปลี่ยนไปปลูกมะพร้าวบ้าง
มาวันนี้มีรายงานมะพร้าวน้ำหอมที่เคยเป็นสินค้าเกษตรกรรมสุดติ่ง
ดันราคาตกลงไปสิบเท่าเสียอีก จนมีคนบ่นว่าขอทั่นนายกฯ อย่าพูดแนะอะไรได้ไหม
แต่ละอย่างที่แนะมาพังทั้งนั้น
กรณีมะพร้าวน้ำหอมนี่เป็นที่นิยมปลูกกันมากเมื่อไม่นานมานี้เอง
โดยเฉพาะในท้องที่จังหวัดสมุทรสงครามมีถึง ๘ พันกว่าไร่
เพราะมีความนิยมมากขึ้นและราคาดีไม่เคยต่ำกว่าลูกละ ๑๐ บาท เมื่อต้นปี ๖๐ นี้เองราคาขึ้นไปถึงลูกละ
๓๑ บาท
มาวันนี้ราคาเหลือเพียงลูกละ
๓-๔ บาท ชาวสวนบอกว่าน่าจะเป็นเพราะมะพร้าวน้ำหอมนิยมปลูกกันมากจนล้นตลาด
ประกอบกับการส่งออกเกิดติดกึกขึ้นมาเนื่องจาก “อาจถูกตรวจพบสารตกค้างในลูกมะพร้าวจึงทำให้หลายประเทศที่เคยต้องการมะพร้าวน้ำหอมจากประเทศไทยแบบไม่อั้น
ระงับการนำเข้าชั่วคราว”
และสาเหตุของการมีสารตกค้างในลูกมะพร้าวก็เนื่องจาก
“การฉีดยาเข้าต้นมะพร้าวเพื่อป้องกันหนอนหัวดำที่ระบาดกัดกินยอดมะพร้าวจนทำให้ยืนต้นตายนับพันไร่
ซึ่งทางวิชาการนั้นให้ฉีดเฉพาะต้นมะพร้าวที่มีความสูงเกิน ๑๒ เมตรขึ้นไปเท่านั้น
เพราะจะทำให้การดูดซึมขึ้นไปไม่ถึงลูกมะพร้าว
แต่ชาวสวนบางรายรู้เท่าไม่ถึงการณ์จ้างคนฉีดยาโดยไม่เว้น
โดยเฉพาะมะพร้าวน้ำหอมที่ต้นจะสูงไม่ถึง ๑๒เมตร”
อ่า เรื่องรู้เท่าไม่ถึงการณ์นี่เป็นปัญหาโลกแตกของการด้อยพัฒนาในสังคมนะ
และการด้อยพัฒนาในสังคมก็เป็นปัญหาโลกแตกของประเทศที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตย
แล้วไอ้การไม่เป็นประชาธิปไตยมันคือปัญหาของสังคมที่มีมโนคติว่า
ประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องมีการเลือกตั้งก็ได้ ประชาธิปไตยมียี่ห้อจะให้ดีต้องตีตราราชลัญจกร
และในช่วงสามปีกว่ามานี้มีคอนเซ็ปใหม่
ประชาธิปไตยที่ดีต้องกีดกันนักการเมืองตั้งรัฐบาล