วันศุกร์, พฤศจิกายน 03, 2560

คสช. และลิ่วล้อขยับอีกคืบเพื่อความมั่งคั่งยั่งยืน ลดอัตราภาษีที่ดิน ยืดอายุผู้ชรารับบำนาญ

คสช. และลิ่วล้อขยับอีกคืบ เพื่อความมั่งคั่ง-ยั่งยืนของพวกตน 

วานนี้ (๒ พฤศจิกา) สนช. อันเป็นกลุ่มคนที่ คสช.ตั้งเข้าไปสวมบทสภานิติบัญญัติ ทำหน้าที่อนุมัติกฎหมายต่างๆ ที่ คสช.ต้องการ ยกมือฝักถั่วท่วมท้น ๒๐๓ เสียง รับหลักการเพิ่มเงินประจำตำแหน่งแก่ทหารที่มีวิทยะฐานะเป็นนักวิชาการ

เมื่อใดกฎหมายฉบับนี้ประกาศใช้ ก็จะทำให้ข้าราชการทหารประเภทที่อ้างได้รับเงินเดือนเพิ่มสูงสุดกันคนละ ๑๕,๖๐๐ บาท

อาทิตย์ที่แล้วเพิ่งมีคำสั่ง คสช. แต่งตั้งผู้ปฏิบัติงานของ คสช. เพิ่มเติมอีกระนาว ในตำแหน่งรองเลขาธิการบ้าง ที่ปรึกษาบ้าง โฆษกบ้าง รวมทั้งสิ้น ๓๔ คน ทหารเกือบทั้งนั้นโยกกันไปมา มีพลเรือนอยู่ไม่กี่คน และเป็นเพศหญิงเพียง ๓ คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือลูกสาวของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ รับเงินเดือน ๔๗,๕๐๐ บาท

น่าเศร้าที่ผู้หญิงคนนี้กลายเป็นข้อวิจารณ์อื้อฉาว เมื่อผู้เป็นพ่อซึ่งเขียนกฎหมายให้ คสช. ใช้กำหนดคุณธรรมสูงส่งอย่างโน้นอย่างนี้กับประชาชน แต่ตนเองแก้ตัวขุ่นๆ ว่าไม่เห็นเป็นไร ใครเขาก็ทำกันทั้งนั้น

ซ้ำยังออกมาอ้างงั่งๆ เสียอีกว่าต้องตั้งลูกเพื่อเก็บความลับให้ คสช. ก็เลยโดน อจ.ปวิน (ชัชวาลพงศ์พันธ์ คนนั้นแหละ) ชำแหละว่าเป็นลูกสาวเมียน้อย (มีชัยได้ไว้ตั้งแต่เมียหลวงยังมีชีวิต) แม่อยู่เมืองนอก และเหตุที่ขุดคุ้ยอย่างนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าข้ออ้างเรื่องเก็บความลับนั้นฟังไม่ขึ้น ดูแต่ความลับตัวเองสิ

แต่เอาเถอะ นั่นไม่ใช่ประเด็น ซึ่งผู้อภิปราย (ที่มีเพียง ๓ คน) อ้างเหตุสนับสนุนว่ากฎหมายเพิ่มเงินลิ่วล้อ คสช.นี้จำเป็นเพื่อ “สร้างขวัญและกำลังใจ” แบบนี้ชาวบ้านอิ่มน้ำอำเภอเสนาฯ ซึ้งละ


ยังมีอีก สนช. เจ้าเดิมนี่เอง ใช้เวลาแค่ ๗ นาฑีพิจารณาลงมติ ไม่ให้ “เปิดเผยบันทึกการประชุมของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ จำนวนสองครั้ง คือครั้งที่ ๓๓ วันพุธที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๓๕ วันพุธที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๐”

ดูเผินๆ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรนี่ ข้ออ้างทางการบอกว่า “การเปิดเผยบันทึกการประชุมต่อสาธารณะอาจส่งผลกระทบต่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ ทั้งการกำหนดอัตราภาษีตามร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ จึงไม่ควรเปิดเผยข้อมูลในส่วนนี้”

โดยเฉพาะจากคำกล่าวชี้แจงของ พลเรือเอก ยุทธนา ฟักผลงาม ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างฯ ว่าเกี่ยวกับ อัตรา การจัดเก็บและการเสียภาษี ซึ่งแน่นอน สนช. สภาเยส ไม่คิดค้าน ลงมติ ๑๘๖ งดออกเสียง ๒ ผ่านฉลุย

แต่เรื่อง อัตรา ที่บอกว่าไม่ควรเปิดนี่ละน่าคิด เนื่องเพราะ “ก่อนหน้านี้มีการถกเถียงกันอยู่บ่อยครั้งถึงร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ ฉบับนี้

เดิมทีรัฐบาลได้วางเป้าหมายว่าจะเป็นการช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน แต่เมื่อดูจากข้อยกเว้นต่างๆ ในร่างพ.ร.บ.แล้ว จะเห็นได้ว่ามีข้อยกเว้นที่น่ากังขาอยู่

เช่น การลดเพดานภาษีที่ดินว่างเปล่าในปีแรกจากร้อยละห้า แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาแก้ไขให้จัดเก็บเพียงร้อยละสองเท่านั้น และกำหนดเพิ่มขึ้นปีละร้อยละ ๐.๕ และจัดเก็บสูงสุดไม่เกินร้อยละห้า”

ที่ ไอลอว์ ตั้งข้อสังเกตุว่า “เอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ถือครองที่ดินตามข้อเสนอของเอกชน ที่มักจะสะสมที่ดินไว้เพื่อนำไปพัฒนาต่อในช่วงเวลาที่เหมาะสม”


พอดีมีคนเขาไปเสาะค้นเบื้องหลังของผู้ที่เป็นกรรมาธิการ พบว่าคนเหล่านี้เป็นเจ้าที่ดินอื้อซ่ากันทั้งนั้น ก็เลยสันนิษฐานได้ว่าที่เขาพยายามปิดไม่ให้สาธารณะชนรู้รายละเอียดการประชุมสองครั้งนั้น น่าจะเป็นเรื่องพยายามโน้มน้าวร่างกฎหมายไม่ให้กระทบกระเทือนผลประโยชน์ตนก็ได้


ใครว่ารัฐบาล คสช. ไม่มีนอกมีใน ใครว่า คสช. ใช้อำนาจเด็ดขาดบริหารราชการเนี้ยบ ที่เงียบสงบมีแต่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองเท่านั้นที่โดนกดหัวกำหราบเสียหงอ แต่พวกเดียวกันดี๊ด๊า ดูอย่างผู้ว่าฯ เมืองชลสิ น้ำไม่ท่วมเสียหน่อย ใกล้จะอ่วมเพราะคนชลบุรีใช้ความจงรักภักดีกันเอ่อล้น

ข้อหาต่อนายภัครธรณ์ เทียนไชย ว่าจัดงานถวายเพลิง ร.๙ ล้มเหลวแต่ม็อบ ไล่ ให้ลาออกเพราะ “อ้างว่าเป็นหลานเสนาะ เทียนทอง เป็นข้าราชการสายทักษิณ มาจากยโสธร”

ผู้ใช้นาม Wasu Khamhom แย้งว่า “เค้าย้ายมาจากสระแก้ว โว้ย เค้าอยู่สระแก้วมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๕ และปี ๒๕๕๓ ก็เคยเป็นรองผู้ว่าฯ ชลบุรีมาก่อนด้วย ไม่ใช่หลานเสนาะ ไม่ใช่สายทักษิณ...
ไอ้เหี้ยม๊อบสลิ่ม หัดใช้ Google บ้างนะ คนดังประวัติหาง่ายมาก จะไล่คนยังเสือกมั่วประว้ติเค้าอีก” ที่ว่า ดัง นั่นด้านสนุ๊กเกอร์ก็คือ “นักสอยคิวฉายา หนุ่ย ชุมแพ เกือบติดทีมชาติ เป็นรุ่นพี่ต๋อง ศิษย์ฉ่อย”

แถมอีกว่า “ชัดเจนนะว่า งานนี้มีการเมืองสาย ปชป. แม่งอยู่เบื้องหลังม๊อบ” อ่า อันนี้ไม่รู้ ไม่ยืนยัน เอามาลงเพื่อแสดงว่าสงครามสี มาอย่างนี้ก็จะไปอย่างนั้น ถ้าขืนเก่งกันทั้งสองฟากก็จะพังหมดทั้งสองฝั่ง

เสร็จแล้วตัวการก็นอนมาพุงกาง เรื่องภาษีนั่นอย่าง แต่เรื่องเงินสวัสดิการนี่สิหน้าสิ่วหน้าขวาน กองทุนมีประมาณ ๒ ล้านล้านบาท มาจากชาวบ้าน ๕% นายจ้าง ๕% แต่จากรัฐแค่ ๒.๗๕% แถมรัฐขาดจ่ายเป็นระยะๆ และรัฐขอยืมเงินจากกองทุนเอาไปใช้อีกส่วนหนึ่งต่างหาก

นั่นเป็นข้อมูลจากนายสมชาย กระจ่างแสง แห่งชมรมพิทักษ์สิทธิ์ผู้ประกันตน พูดถึงกรณีที่สำนักงานประกันสังคมกำลังชงเรื่อง “ขยายอายุรับเงินบำนาญชราภาพ จากเดิมเกษียณอายุ ๕๕ ปี เป็นอายุ ๖๐ ปี แต่โดยระยะแรกก็จะเป็นไปโดยความสมัครใจ”

นายสมชายบอกว่าแบบนี้ “เป็นการทำผิดสัญญากรมธรรม์...การยืดอายุส่งผลต่อผู้ประกันตนแน่นอน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ้างว่าผู้ประกันตนเห็นด้วยในเวทีประชาพิจารณ์ จากการทำงานกับเครื่อข่ายผู้ประกันตนและยื่นข้อร้องเรียนให้กับ สปส.อย่างต่อเนื่อง กลุ่มแกนนำรวมไปถึงสมาชิกกลุ่มไม่เคยถูกเรียกเข้าไปร่วมเวทีประชาพิจารณ์เลย”

นายสมชายชี้ว่านี่คือปัญหาที่ประชาชนไม่ค่อยไว้ใจ สปส. ซึ่งทำงานระบบราชการภายใต้กระทรวงแรงงาน ไม่เป็นอิสระ “ยกตัวอย่างเช่น เมื่ออยู่ภายใต้รัฐบาลก็ไม่กล้าทวงเงินในส่วนที่รัฐติดค้างกองทุนอยู่

หรือการบริหารก็ไม่มีความคล่องตัว เช่น ถ้าเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่เอกชนบริหารก็จะมีการแจ้งสิทธิประโยชน์ การนำเงินกองทุนไปลงทุนที่ชัดเจน”


ซ้ำตอนนี้กระทรวงแรงงานมีปัญหาอึมครึมอยู่ เมื่อรัฐมนตรีและคณะที่ปรึกษายกทีมลาออก นัยว่าจะมีการปรับ ครม. อีกครั้งเป็น ตูบ ๕เพื่อที่จะได้ขับเคลื่อน คสช. ไปสู่ความมั่งคั่งยั่งยืนในทศวรรษ ๒๕๘๐