ไม่คิดว่าจะยาว แต่วันนี้ก็ยังไม่จบ
เรื่องการตายพิศดารของนักเรียนเตรียมทหาร ที่ทำให้พ่อแม่ต้องออกมาฟ้องสังคม
เพราะศพลูกชายเครื่องในหาย
ข่าวการเสียชีวิตอย่างปริศนาด้วยสาเหตุหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันในโรงเรียนเตรียมทหารของ
นตท. ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ ยังเป็นเรื่องถกเถียงจนกลบข่าวคณะรัฐมนตรีใหม่ ‘ตูบห้า’ เห็นใครคนหนึ่งพูดไว้บนเส้นทางไซเบอร์ว่า
เรื่องไม่น่าจะยาว ถ้าพวกเตรียมทหารนั่นเองไม่ได้สาวความยืด ท่าจะจริง
เริ่มจากหัวไปถึงหาง หลังจากทั่นรองฯ
ด้านกะลาโหมพูดพล่อยจนต้องขอโทษภายหลัง ตามด้วยทั่นหัวหน้าสูงสุดช่วยแก้ต่าง
พร้อมทั้งไล่ “ไม่ชอบอย่าเข้า”
แต่กอง บก.ทัพไทยยังตะบันเป็นเรื่องของเรา “ไม่จำเป็นที่จะต้องให้มีการตั้งกรรมการที่เป็นกลาง
หรือให้คนนอกเข้ามาสอบสวนเรื่องนี้” (Wassana Nanuam / 11/24/17 11:27 am)
รองลงไป
พ่อของนักเรียนเตรียมทหารอื่นอีกคนโพสต์ “หยุดด่ากันได้แล้ว...#แลกให้ลูกผมตายแทนมั้ย” (ไม่มีคนตอบ เห็นแต่ถามกลับ “มรึงมีสิทธิไร
เอาชีวิตลูกไปเที่ยวโยนให้โน่นนี่”)
เขาว่า
“ลูกเคยหัวเน่ากลับบ้านมาแล้ว ‘แดกเดี่ยว’ ‘แดกหมู่’ เล่นกันอ้วก
เล่นกันสลบ ผ่านมาหมดแล้ว ข้อมือหัก! เข่าแตก! แขนหลุด! มีครบทุกรส แค่น้ำตาไหลเมื่อเห็น”
คุณพ่องคนที่ใช้นามบนเฟชบุ๊คว่า Thanawat
Rienprasert ระบาย “ถ้าเป็นลูกผมตายจริงๆ
ผมก็ภูมิใจและโทษตัวเองที่ปล่อยให้ลูกที่มีร่างกายอ่อนแอกว่าเพื่อนๆ อีก ๖๐๐ กว่านาย”
อีกคนเป็นหมอทหารโพสต์ท่า ‘หัวเดินต่างเท้า’ พร้อมข้อความกำกับว่าทำแบบนี้อยู่ได้เป็นชั่วโมง
ทำให้อดีตนายทหารยศพลโทคนหนึ่งชี้แจง
“ผมทราบมาแต่ว่าโครงสร้างกระดูกต้นคอจะรับน้ำหนักไม่ควรเกิน
๗ กิโลกรัม ส่วนชาวอาฟริกันที่เทินของบนหัวได้หนักๆเพราะฝึกทำมาแต่เด็กๆ...
แต่ผมกลับชอบใจคำถามของสุภาพสตรีท่านหนึ่ง
สอบถามอย่างน่าคิดว่า เวลาไปรบ พวกพี่ๆ ทำท่านี้ใส่ศัตรูเลยใช่ไหมคะ” (พงศกร รอดชมภู)
กระหึ่มกว่านั้น
พวกนักเรียนเตรียมทหารออกมาช่วยกันโพสต์รัวๆ แฮ้สช์แท็ก #เสพข่าวอย่างมีสติ
พร้อมรูปพวกตนและคอมเม้นต์เชิดชูสถาบันโรงเรียนเตรียมทหาร
(ทั้งที่มีคนตั้งข้อสงสัย ไหง “วันนี้วันศุกร์
ยังไม่ได้ปล่อยกลับบ้านแล้ว นศษ.ทหาร เอามือถือที่ไหนโพสต์ไอจีกัน? ดังนั้นต้องมีคนสั่งแน่นอน” -ไอแพทไทเกอร์ไอเฮีย @iPattt)
รายหนึ่งบอกให้งดดราม่า ว่าเรื่องซ่อม (ถึงตาย)
นี่อธิบายยาก “เหมือนนกอธิบายปลาว่ากระพือปีกไปทำไม” อีกรายถาม “เคยตายรึปล่าว
มีแต่คนตายที่รู้” อีกคนว่า “เป็นเรื่องธรรมดาที่โรงเรียนทหารต้องมีการซ่อมหรือธำรงวินัย”
คนต่อมาเสริม “ไม่มีใครรู้จักโรงเรียนเตรียมทหารได้ดีเท่านักเรียนเตรียมทหาร”
(จริงของเค้า..แต่ว่า) มีคนตอบ “ไม่มีใครด่าสถาบันค่ะ มีแต่คนไม่เข้าใจว่านี่โรงเรียนหรือโรงประหาร”
องอาจยิ่งกว่าก็ตรงที่เขา ‘ยกอกอึ๊บ’ สถาบันสูงส่งแล้วเยาะ “ถ้าอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง
ก็ลองสอบให้ติดแล้วเข้ามาเรียนดู” ก็ดันมีคนพาซื่อตอบ “ถ้าอยากรู้ว่าครอบครัวน้องเมยเจ็บปวดยังไง
ก็ลองตายแล้วไปถามพ่อแม่มึงดูนะ// สงสัยฝึกกำลังจนลืมฝึกสมอง”
เหล่านั้นน่าจะเนื่องจาก บก.ทัพไทยเองพยายามแก้ตัวผิดทาง
แก้ต่างผิดประเด็น อ้างการฝึกทหารของทั่วโลกก็ใช้ท่า ‘ทิ้งสมอ’ ทิ่มหัวกระแทกพื้นเหมือนกัน ซ้ำมีถ้อยทั่นผู้นัมพ์กำกับ
“ลั่น ถ้าฝึกธรรมดาก็จะได้คนธรรมดา ไม่อดทน” (@WassanaNanuam)
ในเมื่อทั้งหลายทั้งปวงเป็นเรื่องที่เด็กนักเรียนคนหนึ่งถูกรุ่นพี่
‘ซ่อม’ สั่งสอนด้วยการทำให้บาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีกจนร่างกายรับไม่ไหว
ขาดใจตาย โดยที่ “ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหารยืนยันว่า
ท่าทิ้งสมอนี้ไม่อยู่ในหลักสูตรของโรงเรียนเตรียมทหาร
ผู้ใดสั่งใช้ท่านี้ต้องมีความผิด”
ทว่าอนิจจังสังคมเส็งเคร็ง “พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ
ลงนามคำสั่ง 104/2560
เรื่องให้นายทหารสัญญาบัตรรับราชการ โดยสั่งย้าย พ.อ.ฉัตรรัตน์
ดวงรัตน์ ผู้บังคับการกรมนักเรียนเตรียมทหาร เข้าประจำ บก.กองทัพไทย” ซะแล้ว
พร้อมกันนั้น ‘ผู้พันเป๊ป’ คนที่
นตท.ผู้ตายบอกกับบิดาก่อนเสียชีวิตหนึ่งวัน เรื่องโดนรุ่นพี่ซ่อมหนัก ว่า “อย่าไว้ใจ”
ก็ถูกย้ายกระทันหันด้วย นัยว่าเพื่อเปิดทางให้การสอบสวนสะดวก
อีจัน @EJanNews :#เด้งผู้พันแล้ว มีคำสั่งย้ายนาวาโท นพศิษฐ์ เพียรชอบ
ผู้บังคับกองพันนักเรียนที่ 2 (นตท.รุ่น 34 ) กรมนักเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร
ไปประจำหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ซึ่งนาวาโท นพศิษฐ์ คือผู้พันที่ #น้องเมย เอยถึงก่อนที่เขาจะเสียชีวิต
นี่เป็นความพยายามหมกเม็ดเงื่อนงำอำพรางสาเหตุแท้จริง
ซึ่งอยู่ที่การนำอวัยวะภายในหลายชิ้นของนักเรียนผู้ตายไปชันสูตรแล้วแจ้งแต่เพียงว่าหัวใจล้มเหลว
ไม่คืนอวัยวะกลับเข้าร่างนั่นต่างหาก
แม้แต่คุณหญิงแพทย์ พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้มีชื่อเสียงด่งดังมาก
ที่บางครั้งผลงานทำให้ได้สมยา ‘พรดริ๊ฟฟ์’ ยังแบ่งรับแบ่งสู้ว่า “เป็นการเสียชีวิตแบบผิดปกติ (และ) เป็นการตายแบบกระทันหัน”
ซึ่งควรจะต้องชันสูตรสองวิธีประกอบกัน ทั้งด้านพยาธิวิทยาและด้านนิติเวช
สำหรับการผ่าแบบนิติเวชวิทยานั้น “เป็นการนำชิ้นส่วนที่ต้องการผ่าตัดเพื่อหาสาเหตุการตายออกจากร่างกาย
ต้องมีการแจ้งญาติด้วยวาจาเพราะถือเป็นวัตถุพยาน หลังผ่าเสร็จจะต้องมีการนำชิ้นส่วนกลับใส่ในร่างกายเพื่อมอบให้กับญาติ”
สิ่งที่โรงเรียนเตรียมทหารและชุมชนคนรักเตรียมทหารต้องทำให้กระจ่าง
เพื่อศักดิ์ศรีแห่งศพของ นตท.ภคพงศ์ ไม่ใช่ช่วยกันประโคมว่าโรงเรียนเตรียมทหารเป็น
‘สถาบัน’ เลอเลิศ
วิเศษวิโสเพียงใด คำของพี่สาวผู้ตายที่ได้ยืนยันไว้หนักแน่นพอแล้ว
หันไปเจาะจงเรื่องทำไมน้องเมยหัวใจวายฉับพลัน
มีอาการอะไรบ้างนำร่องมาก่อน นี่เป็นเรื่องทางการแพทย์ อันเป็นวิทยาศาสตร์ที่ต้องพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริง
ไม่ใช่อารมณ์รักศรัทธามืดบอดและมโนคติ