วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 30, 2560

“กำขี้ดีกว่ากำตด” คำคมสำหรับ ปชป. ร่วมรัฐบาลกับ คสช.นายกฯ คนนอก

วุ้ย จิ้มลิ้ม น้องเกี่ยวก้อย ของกลาโหม เปิดเบิ่งซิงซิงเมื่อวานเพื่อการปรองดอง ใครไม่รู้ตาไวเอาไปเปรียบกับขุ่นแม่ผ่องพรรณทันใด (เขาหมายถึงความงามของใบหน้านะเพ่)

น้องคนนี้เป็นลูกหม้อ คสช.โดยแท้ เป็นสัญญลักษณ์ที่คณะทหารจัดตั้ง เดิมทีมีนายกฯ ตูบเป็นประธาน ตอนนี้มอบให้พี่ตือรับงานแทน โดยแยกกรรมการออกเป็น ๔ ชุด เริ่มจากรับฟังความเห็นให้ปลัดกลาโหมคุม ฟังแล้วต้องรวบรวมความเห็นด้วย ชุดนี้ให้ ผบ.สูงสุดนำทีม จากนั้นก็ต้องไปร่างสัญญาประชาคมออกมา งานนี้ให้ ผบ.ทบ.จัดการ เสร็จแล้วทำประชาสัมพันธ์ จึงใช้โฆษกกลาโหมดำเนินงาน (รายละเอียดได้มาจากเพจ Wassana Nanuam)
โฆษกกลาโหม พลโทคงชีพ ตันตระวาณิชย์ แจงว่าแผนงาน “เตรียมการสร้างสามัคคีปรองดอง” ของ คสช. ยังเดินหน้าไม่ได้หยุด แต่ขณะนี้ถึงไหนแล้วทั่นไม่เห็นบอก เท่าที่เราๆ ท่านๆ ได้เห็น มีแต่ที่จาตุรนต์ ฉายแสง ออกมาพูดตรงกับนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ เรื่องมองหาอุโมงก์ให้สองพรรค พท.-ปชป. รวมหัวชิงเลือกตั้ง จะได้ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลได้

พลันตัวเต็งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รีบปฏิเสธทันที “กล่าวทักท้วงไปยังพรรคการเมืองให้คำนึงถึงการเดินหน้าเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยก่อนการเลือกตั้ง มากกว่านำเสนอให้พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์จับมือร่วมตั้งรัฐบาล”


เท่านั้นแหละ น้องม้าร์คเอาบ้าง “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยผ่านไลน์ว่า ทุกคนในพรรค รวมทั้งคุณนิพิฏฐ์ ยืนยันตรงกันว่าอุดมการณ์ไม่ตรงกันก็ร่วมกันไม่ได้

ก่อนหน้านี้นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคแทงกั๊กชักลึก “ไม่สามารถพูดได้ในตอนนี้ เพราะยังไม่รู้ว่าพรรคเพื่อไทยจะมีนโยบายอย่างไร ยังกอดคนเผาบ้านเผาเมืองไว้หรือไม่ จะเคารพกฎหมายหรือไม่ และจะมีใครเป็นหัวหน้าพรรค ถ้าเป็นนายพานทองแท้ ชินวัตร ก็คงรับไม่ได้”


เลยถึงที วัฒนา เมืองสุข พันธุ์แท้เพื่อไทยปีกซ้ายทักษิณ สวนให้ “ธาตุแท้ของคนพรรคนี้ที่ไม่เคยเปลี่ยน ทั้งสร้างภาพ เอาดีใส่ตัวและไม่เคยให้เกียรติผู้อื่น มิได้สำนึกว่าที่บ้านเมืองเสียหายครั้งนี้ เกิดจากคนของพรรคออกมาเป่านกหวีดเปิดทางให้ทหารออกมายึดอำนาจ”

ไม่เท่านั้น นายวัฒนาย้ำด้วยว่า “หัวหน้าพรรคจึงกล้าประกาศว่าพร้อมจะร่วมงานกับหัวหน้า คสช. สอดรับกับอดีตเลขาฯ พรรคที่จะสนับสนุนให้หัวหน้า คสช. เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป”


นั่นดูจะเป็นมูลเหตุหลักที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์และเพื่อไทยไม่มีทางจับมือกันได้ ใครจะว่า “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรในทางการเมือง” ก็ตามที

ในกรณีของนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้ เห็นชัดว่ามุ่งหมายที่จะร่วมรัฐบาลหลังเลือกตั้งกับนายกฯ คนนอกและ คสช. มิใยที่จะมีการทำนายทายทักจากนักวิจัยทีดีอาร์ไอบางคนว่า หลังเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยยังมีหวังจะได้ส.ส. จำนวน ๓๐๐ ขึ้นไป

ถึงกระนั้นเงื่อนงำในรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งใหม่ โดยเฉพาะพรรคทหาร ๒๕๐ คนในวุฒิสภา ยากที่จะมีพรรคใดได้คะแนนเสียงท่วมท้นพอจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ความหวังของพรรคประชาธิปัตย์ในการได้ร่วมรัฐบาลด้วยอาณิสงค์ของคณะทหารอีกครั้งจึงเป็นเป้าหมายเหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับพรรคการเมืองที่อดอยากปากแห้งมานานเกือบสองทศวรรษ

ทว่าเวลาอีกหนึ่งปีหรือกว่านั้น คณะทหารซึ่งครองเมืองมาเกือบจะสี่ปีจะเหลืออะไรไว้ให้แก้กระหายได้บ้างเล่า

ดูจากรายงานของ ไอสเปชเมื่อวาน อ้างถึงการประชุม ครม.สัญจรที่สงขลาซึ่งข่าวกระหึ่มเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตวาดใส่ชาวประมงผู้ไปดักร้องเรียนที่ตลาดปลาปัตตานี หากแต่ภายในการประชุมที่สงขลามี “การแก้ระเบียบปลดล็อกการใช้งบประมาณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มีสะสมกว่า ๑.๕ แสนล้านบาท”

รายงานระบุว่า ตามปกติ อปท.มีรายได้รวมอยู่ที่ ๓๑๘,๐๐๐ ล้านบาท นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจคิดหาเงินทางลัด เสนอผ่านกระทรวงมหาดไทยให้ขอชักจากกระเป๋าขององค์กรท้องถิ่น ดดยพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จัดการนำเข้า ครม. และผ่านมติแล้วเรียบร้อย

รายงานยังพาดพิงประเด็น รัฐตูดขาด “การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลทหารตลอด ๓ ปี กว่า ๘ ล้านล้านบาท ไม่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศโตขึ้นเลย แม้รัฐบาลจะพยายามปรับแก้ตัวเลขจีดีพีขนาดไหน ก็แทบจะรั้งท้ายประเทศในภูมิภาคอาเซียนนี้”

รวมความ “คงเห็นแล้วว่ารัฐบาลทหารผลาญงบประมาณของประเทศไปมหาศาลแค่ไหน ที่เราเห็นๆคุ้นๆเช่น การผลาญเงินประกันสังคม และยังจะผลาญต่อไปถึงองค์กรปกครองท้องถิ่นอีก น่าสนใจว่าจะไปผลาญที่ไหนต่อ”

คนละเรื่องเดียวกัน รายงานของ เดอะแม้ทเตอร์สามปียุคลุงตู่ จ่ายเงินเดือนข้าราชการเพิ่ม ๘ หมื่นล้าน แถมเคยปูนบำเหน็จคนทำงาน คสช. มาแล้ว ๓ รอบ”

นั่นคือ “ค่าใช้จ่ายบุคลากร หรือพูดง่ายๆ ว่า ‘เงินเดือนข้าราชการ’ (เฉพาะของรัฐบาลกลางและกลุ่มส่วนราชการ ไม่รวมถึง อปท. รัฐวิสาหกิจ และธนาคารของรัฐ) ซึ่งพบว่า

จากเดิมซึ่งอยู่ที่ ๘.๐๕ แสนล้านบาทในปี ๒๕๕๗ มาเป็น ๘.๔๙ แสนล้านบาทในปี ๒๕๕๘ และเป็น ๘.๘๕ แสนล้านบาทในปี ๒๕๕๙ หรือเพิ่มขึ้นมากถึง ๘ หมื่นล้านบาท ในระยะเวลาเพียงสามปีที่ คสช. ขึ้นมามีอำนาจ

และ “มีข้อสังเกตว่า ครม. ที่ พล.อ.ประยุทธ์นั่งหัวโต๊ะ เคยมีมติเลื่อนขึ้นเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษ (๒ ขั้น) เพื่อเป็นบำเหน็จให้กับผู้ปฏิบัติงานของ คสช. ไปแล้ว ๓ ครั้ง ระหว่างปี ๒๕๕๘๒๕๖๐”


นี่เป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายในภาครัฐในขณะที่ขาดดุลงบประมาณต่อเนื่องมาสามปี ยังไม่มีสัญญานกระเตื้องที่แน่นอนจริงจัง แล้วยังปีหน้าจะมีการขึ้นค่าโดยสารขนส่งมวลชน ยกแผงทั้งรถไฟฟ้า ทางด่วน มอเตอร์เวย์ อีกระนาว

สำหรับรถไฟฟ้าใต้ดินจะมีการปรับขึ้นอีก ๑ บาท จาก ๒๒ บาทเป็น ๒๓ บาทเฉพาะในเส้นทางระยะสั้น ส่วนบีทีเอสยังตรึงราคาอยู่เท่าเดิม แต่ค่าผ่านทางด่วน “มีแนวโน้มจะปรับขึ้น ๒ สาย” ทั้งขั้นที่ ๑ และขั้นที่ ๒ เพิ่มขึ้นราว ๕-๑๐ บาท

ด้านค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-ชลบุรี ปัจจุบันอยู่ที่ ๖๐ บาท ปีหน้าจะปรับเป็น ๑๐๕ บาท แต่ก็ปลอบใจด้วยของแถม คือถ้าวิ่งต่อจากชลบุรีถึงพัทยา ระยะ ๔๒ ก.ม. ฟรี นอกนั้นราคาปกติ


เหล่านี้จึงเป็นสิ่งน่าห่วงอย่างยิ่งสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ในการร่วมรัฐบาลกับ คสช. หลังเลือกตั้งครั้งหน้า โดยมีทหารหรือคนของทหารมาเป็นนายกฯ คนนอก ดังกล่าวแล้วว่าถึงตอนนั้นจะเจอแต่เศษของเสียทหารถ่ายทิ้งไว้เต็ม

แต่ก็เนอะ ปลอบใจได้ด้วยคำคมที่ ‘the fool on the hill’ พูดไว้ “กำขี้ดีกว่ากำตด”