วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 26, 2560

เปิดโปง... ความฟอนแฟะของระบบทหาร





ขอแสดงความนับถือครอบครัวนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์

หลังจากการเปิดประเด็นการตายอย่างปริศนาของนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ซึ่งเปิดเผยเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 (1 เดือนหลังเสียชีวิต)

โดย อัมรินทร์ทีวี รายงานว่า พิเชษฐ และสุกัลยา ตัญกาญจน์ 2 นักแข่งรถชื่อดังประเทศไทย พ่อและแม่ของนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ ต่อมา บ่ายวันเดียวกัน คุณสุพิชชา ตัญกาญจน์ พี่สาว ได้แถลงข่าวถึงกรณีนี้ โดย ระบุว่า จากการชันสูตรพบว่า อวัยวะภายใน ทั้ง ตับ ไต ไส้ พุง หายไปหมด ส่วนที่กะโหลกศีรษะ มีกระดาษทิชชู่ยัดไว้ แต่สมองหายไป นอกจากนี้ยังตรวจพบกระดูกซี่โครงซี่ที่ 4 หัก และมีรอยช้ำภายในช่องท้องด้านขวาขนาดเท่ากำปั้น และส่วนด้านหลังภายในซีกซ้ายมีรอยช้ำ และที่ไหปลาร้าหักทั้ง 2 ข้าง ซึ่งแพทย์ที่ชันสูตรระบุว่า ซี่โครงที่หักไม่น่าจะเกิดจากการปั๊มหัวใจ เพราะหักต้องหักทั้งแถบ และรอยช้ำน่าจะเกิดจากการถูกกระแทกอย่างแรง

https://prachatai.com/journal/2017/11/74220

นอกจากนั้นได้มีการเปิดเผยต่อมาว่า เบื้องหลังการสืบสวนหาข้อเท็จจริงนั้น ต้องอาศัยทั้ง สติและความกล้าหาญ ท่ามกลางสภาวะวิกฤตของครอบครัวตัญกาญจน์ ซึ่งคุณสุพิชชา ตัญกาญจน์ พี่สาวได้ เปิดเผยกับอมรินทร์ทีวี ว่าเป็นคนวางแผนทั้งหมด ตั้งแต่วันเผา จ้างสัปเหร่อนอก ไม่เปิดศพดู ให้ทหารเชื่อใจ เก็บศพหาความจริง ตอนชันสูตร ยังใจแข็งเข้าไปดูเองทุกขั้นตอน รวมถึงขั้นตอนการเปิดเผยเรื่องราวกับสื่อ ให้เสนอข้อมูลอีกด้าน

ซึ่งทั้งหมดได้แสดงถึงความไม่ชอบมาพากลของกระบวนการชันสูตศพ ไปจนถึงการทำผิดกฎหมายของบรรดาแพทย์ทหาร แม้จะตามมาด้วยการบิดเบือนข้อมูลของกองทัพโดยบรรดา 4 เกรียน ที่นำโดย พล.ต.กนกพงษ์ จันทร์นวล ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร พ.ท.รุฏฐ์ ทองสอน ทีมแพทย์ผู้ชันสูตรศพ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

ดู
กองทัพ แจงจำเป็นต้องเก็บอวัยวะ “น้องเมย” เพื่อชันสูตร พบพยาธิสภาพในหัวใจผิดปกติ
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_641387

แต่ก็หาทำให้ความสงสัยในความไม่ชอบมาพากลของกองทัพหมดไปไม่

มิหนำซ้ำการเอาน้ำมันมาราดกองไฟของทั้ง หัวหน้าคณะรัฐประหาร/นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ รองหัวหน้าคณะรัฐประหาร/รองนายกรัฐมนตรี/รมว. กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จนสุดท้ายต้องออกมาขอโทษ ก็ยิ่งสร้างความเคลือบแคลงสงสัย จนไปถึงการท้วงติง จากพวกเดียวกันเอง

ดังจะเห็นจากข้อความของคุณนิติพงษ์ ห่อนาค

“ดี้ นิติพงษ์” โพสต์กรณี “น้องเมย” ติงพี่ๆลุงๆ “พูดไม่เหมาะกับบรรยากาศ…ลูกเขาตายนะ”
https://www.brighttv.co.th/entertain/151189

แม้ว่า การออกมาพูดของพี่สาวในเวลาต่อมาที่ว่า
.......
ขอความกรุณาทุกท่าน
อย่าโจมตีชื่อเสียงของโรงเรียนเตรียมทหาร
เพราะที่นี่คือสถาบันอันทรงเกียรติ และเป็นสถาบันหลักที่ผลิตกำลังของประเทศ

https://www.facebook.com/meang.tankan/posts/1403564543105651

จะได้รับการค่อนแคะจากบางคนว่า เป็นการทำเรื่องใหญ่ /โครงสร้างอันอยุติธรรม ให้เป็นเรื่องส่วนตัว ประหนึ่งว่าการวิพากษ์สถาบันทหารในตอนนี้ มันเลยเรื่องส่วนตัว ไปนานแล้ว

สำหรับผมแล้ว การออกมาเปิดประเด็นการตายอย่างปริศนาของนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ โดยครอบครัวนั้นควร ได้รับการแสดงความนับถือ ด้วยเหตุผลว่า

1.ด้วยภูมิหลังครอบครัวที่ชื่นชมทหารมาก่อน ถึงขนาดร่วมชุมนุมกปปส. ออกบัตรเชิญให้ทหารมารัฐประหาร การที่จะออกข่าวนั้นทางครอบครัวก็รู้ดีอยู่แล้วว่าต้องสร้างความเสียหายกับทหารไม่มากก็น้อย แต่อย่างน้อยความพยายามค้นหาความจริง/คืนความยุติธรรมให้กับผู้ตาย ก็มิได้ทำให้อคติดังกล่าวมาปิดกั้น

2.ถ้าหากครอบครัวจะพอใจแค่การออกมาขอโทษ ของกองทัพ ผมก็ไม่รู้สึกว่าจะเป็นเรื่องที่จะต้องประณามหยามหมิ่นว่าเป็นการสู้เพื่อตัวเอง สำหรับผมแล้วการต่อสู้เพื่อตัวเอง ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจแต่อย่างใด รากฐานที่สำคัญของประชาธิปไตย นั้นก็มาจากการต่อสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองเช่นกัน แต่ถ้าหากจะขยับไปไกลกว่านั้นก็น่ายินดี

3.คุณูปการอย่างสำคัญของครอบครัวตัญกาญจน์ ไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ก็ตามแต่ทำให้เห็นความฟอนแฟะของระบบทหาร ยิ่งอยู่ภายใต้ระบอบรัฐประหารที่ตรวจสอบไม่ได้ ก็ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก

ทั้ง 3 ข้อที่ยกมานั้นผมคิดว่าส่งผลอย่างสำคัญยิ่งแล้ว แต่การที่คาดหวังว่า ครอบครัวตัญกาญจน์ ต้องเรียกร้องมากกว่าตัวเอง จนถือธงนำไปสู่การปฏิรูปกองทัพนั่นแหละเป็นความคาดหวังที่ไร้เดียงสาและโลกสวยเกินไป


Thanapol Eawsakul

ooo





ooo

เผด็จการในโลกนี้ก็เหมือน ๆ กัน ภัยคุกคามพวกเขาไม่ใช่ศัตรูต่างชาติ แต่เป็นปชช.ของเขาเอง ทหาร ตำรวจ ศาล คุกตะรางคือเครื่องมือไว้จัดการปชช.ที่เป็นภัยกับเขา คนทีเข้าสู่ระบบนี้จึงต้องถูกคัดสรร ทดสอบทั้งกายจิตใจ และครอบงำทางความคิด ถ้าทดสอบไม่ผ่าน ก็ถูกเขี่ยทิ้ง แต่ถ้าผ่าน ก็ได้รางวัล ลาภยศ

ระบบทหารเป็นไม้ตายสุดท้ายเมื่อเครื่องมืออื่นใช้ไม่ได้ผล เป็นขั้นสูงสุดของกำลังรุนแรง คนที่ทำร้ายคนอื่นได้โดยไม่ลังเลนั้นต้องถูกบ่มทางกายและความคิดมาอย่างเข้มข้น ผลผลิตจึงมักจะเป็นคนที่เต็มไปด้วยความคิดแบบฟัสซิสต์ พร้อมที่จะใช้กำลังอำนาจแบบดิบ ๆ กระทำต่อคนทีเชื่อว่าเป็นศัตรูได้

ระบบโซตัส รุ่นพี่กระทืบรุ่นน้องจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของระบบแบบนี้ สิ่งที่ทำกับปชช.และทำกันในหมู่พวกเขาเองจึง "ไม่ใช่เรื่องแปลก" อย่างที่พวกเขาชี้แจงนั่นแหละ

ถึงที่สุดจึงไม่ใช่การ "เรียกร้องความยุติธรรม" จากพวกเขา เพราะนั่นมันขัดกับธรรมชาติของเขา แต่เป็นการเปลี่ยนให้เป็นประชาธิปไตย เอาระบบทหารมาอยู่ใต้พลเรือนอย่างสมบูรณ์เหมือนประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง นายพลแพ็ตตันไปเยี่ยมโรงพยาบาล เจอพลทหารแกล้งป่วยอยู่เพื่อจะได้ไม่ต้องไปรบ แพ็ตตันโกรธมาก ด่าแล้วตบหน้าพลทหารไปฉาดหนึ่ง กลายเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งสื่อมวลชน นักการเมือง สาธารณชนรุมประณามแพ็ตตัน ผบ.สส.ต้องสั่งให้แพ็ตตันมายืนหน้าแถวกองพันทหารและกล่าวขอโทษพลทหารคนนั้น มิฉะนั้นแพ็ตตันจะถูกปลด เรื่องถึงได้จบ (สลิ่มคงย้อนว่า ปท.ไทยไม่ใช่อเมริกา ผมตอบว่า เออจริงดิ!)



พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์