อาทิตย์นี้มีคนไทยได้รับรางวัลดีเด่นระดับนานาชาติสองคน
เสียใจถ้าบางคนผิดหวังที่หนึ่งในนั้นไม่ใช่นักร้องดังที่ออกวิ่งทางไกลใต้จรดเหนือเพื่อรับเงินบริจาคช่วยซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับโรงพยาบาลรัฐ
๑๑ แห่ง
หนึ่งในนั้นเป็นนักหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกในสังคมไทย
การต่อสู้ของเขาที่หนักหนาเป็นรายวัน อยู่ที่การอดทนรับแรงกระแทกก่นด่าว่าร้ายเสียๆ
หายๆ ไม่เว้นแต่ละวัน
ใครที่ติดตามทวิตเตอร์ของ ประวิตร
โรจนพฤกษ์ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ข่าวสดอิงลิช จะเห็นว่าเขาพยายามตอบคนที่คอยโพสต์จ้วงจาบหยาบคายด้วยเหตุผลในทางประชาธิปไตยเสมอ
แต่ก็มักจะไม่สามารถทำให้พวกเขาฉุกคิดหรือเลิกแถกแถได้
คนเหล่านั้นล้วนมีความคิดความอ่านในแนว ‘สลิ่ม’ แบบที่ ชัย ราชวัตร นักเขียนการ์ตูนล้อการเมืองประจำหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โพสต์ความเห็นส่วนตัวเอาไว้
“ใครรังเกียจกฎหมายมาตรา ๑๑๒ รังเกียจนายกฯ
มาจากทหาร รังเกียจรัฐธรรมนูญที่มี สว.มาจากการแต่งตั้ง
รังเกียจคนนอกมีสิทธิมาเป็นนายกฯ...เชิญเลย...ขอย้ายสัมโนครัวไปอยู่ประเทศอื่น”
แต่ประวิตรก็กล่าวปาฐกถาในงานรับโล่ห์ประกาศเกียรติคุณ
‘เสรีภาพสื่อนานาชาติ’ ประจำปี
๒๕๖๐ ของคณะกรรมการปกป้องสื่อมวลชน หรือ ‘CPJ’ ในนครนิวยอร์ค
เมื่อคืนวันพุธที่ ๑๕ พฤศจิกายน (เวลาท้องถิ่น) ว่า
“หลายคนถามผมว่าจะขอลี้ภัยที่สหรัฐเลยไหม
ผมตอบว่าไม่ เพราะผมต้องกลับไปปฎิบัติหน้าที่สื่อ
และพยายามปกป้องเสรีภาพสื่อและเสรีภาพการแสดงออกที่ประเทศไทยต่อไป”
ในงานนี้มีนักข่าวนานาชาติอื่นที่ได้รับรางวัลแบบเดียวกันอีกสามคน
คืออาห์เมด อับบา จากแคเมรูน แพ้ทริเชีย มาญอร์กา จากเม็กซิโก และอัฟราห์ แนสเซอร์
ชาวเยเมนซึ่งลี้ภัยอยู่ในสวีเด็น แต่ละคนต้องเผชิญกับการคุกคาม ข่มขู่ บีบบังคับ จากทางการรัฐบาลเผด็จการหรืออำนาจนิยมเช่นเดียวกับประวิตร
“ล่าสุด
ประวิตรถูกหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่กองปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมเทคโนโลยี
(ปอท.) ในข้อหายุยงปลุกปั่นตามมาตรา ๑๑๖ และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
เนื่องจากได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว วิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด”
อีกรายซึ่งไปรับรางวัลชมเชยจากเทศกาลหนังสั้นนานาชาติ
‘Kurzfilmtage
Winterthur’ ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็คือ สรยศ ประภาพันธ์ ผู้กำกับและบันทึกเสียงภาพยนตร์ประเภทอินดี้ของไทยและภูมิภาคอาเซียน
จากภาพยนตร์เรื่อง ‘อวสานซาวด์แมน’
สรยศกล่าวในปาฐกถา เอ่ยอิงถึง ชัยภูมิ ป่าแส
นักกิจกรรมทางสังคมชาวลาหู่ ผู้มีชื่อเสียงในการทำหนังสั้นเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของชนกลุ่มน้อยในไทย
จนกระทั่งถูกทหารทำวิสามัญฆาตกรรมเมื่อต้นปีพร้อมกับยัดข้อหาค้ายาเสพติด
ชาวบ้านพยานบุคคลให้การว่าชัยภูมิถูกยิงข้างหลังแล้วทหารจึงเอายาบ้าไปยัดข้างศพ
มีการเรียกร้องให้เปิดเผยภาพวิดีโอจากกล้องวงจรปิดเพื่อพิสูจน์ แต่ทางการไม่ยอม
สรยศจึงทำหนังสารคดีเรื่องนี้โดย “ใส่เสียงลั่นกระสุนปืนประกอบลงไปในหนัง
เพื่อย้ำเตือนถึงสิ่งที่พวกเขากระทำกับพวกเรา”
นั่นเป็นการแสดงจุดยืนแห่งหลักสำคัญของการสื่อสารมวลชนที่ขาดหายไป
ภายใต้การปกครองด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จที่ยึดมาด้วยการรัฐประหาร ที่ว่า “เสียงของผู้คนมักเป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกละเลยเพิกเฉยอยู่เสมอ”
ไม่เพียงแต่ละเลยเพิกเฉย ในวิธีการกดขี่ของ
คสช. ก็คือตามจี้ประชิดประกบผู้ที่มีความเห็นต่างหรือคัดค้านการปกครองของทหาร
และแม้กระทั่งบ่นว่า วิพากษ์วิจารณ์ ร้องโวยวายในความทุกข์ยากที่ได้รับ
แม้ในยุคนี้ที่การสื่อสารทางอีเล็คโทรนิคก้าวหน้า
ชนิดผู้อยู่ห่างไกลปืนเที่ยงสามารถรู้เท่าทันคนในเมือง คสช.ก็มิวายมีความคิดที่จะริบ
ยื้อแย่งเครื่องมือสื่อสารเหล่านั้นไปจากประชาชน
ดังกรณีมีภาพโพสต์เกี่ยวกับพล.อ.ประวิตร
วงษ์สุวรรณ รองหัวหน้า คสช. บอกกับนักข่าวว่า “ต่อไปจะไม่ให้ขายโทรศัพท์รุ่นใหม่
ที่มันเล่นเฟชเล่นไลน์ได้ เพราะพวกที่ซื้อเอาไปเป็นเครื่องมือโจมตีรัฐบาล”
ข้อความนั้นจะจริงหรือไม่จริงไม่สำคัญเท่า
ในความเป็นมาของบุคคลิกท่าที และนิสัยสันดอนของพวกตัวเอ้ๆ คสช. “มันเป็นไปได้”
ว่าคำพูดเหล่านั้นอาจหลุดออกมาจากปากบิ๊กใดบิ๊กหนึ่ง
แต่ที่แน่ๆ เป็นคำให้การผ่านสื่อสังคมของนักกิจกรรมบนโซเชียลคนหนึ่ง
ผู้ใช้นามว่า Wanchalearm Satsaksit เขียนเล่าไว้เมื่อสองสามวันก่อน
“มี
จนท.ตำรวจนอกเครื่องสองคนไปถามหาผมที่บ้าน ถามว่าผมอยู่ไหน เมื่อได้ความว่าอยู่นอกกะลาก็คุยเรื่อยเปื่อยและขอถ่ายเซลฟี่กับแม่ผม
คงเอาไปใส่ในรายงาน”
เขาอ้างนี่เป็นส่วนหนึ่งของการตามล่า
‘กลุ่มบิดเบือนผ่านโซเชียล’
“โดย พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขาฯ สมช. รับคำสั่งจากประวิตร
(วงษ์สุวรรณ)”
“สำหรับผมนั้นไม่กังวลที่ถูกตาม
และไม่สนใจที่เขาจะเรียกว่าเป็นคนบิดเบือน
เพราะส่วนใหญ่ด่า/วิจารณ์บนข้อมูลเชิงประจักษ์...
แต่พอเวลาผ่านไปข้อเขียนมันก็พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าสิ่งที่วิเคราะห์ไปนั้นเกิดขึ้นจริง
คสช.ล้มเหลวจริง บริหารแย่จริง เป็นต้น
สมช.
ควรติดตามและทำรายงานเสนอ คสช.ว่า จะช่วยประชาชนที่ลำบากจากน้ำท่วมอย่างไร
จะมีโครงการใดที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรได้
จะช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยมีอาชีพที่ยั่งยืนได้อย่างไร
จะทำอย่างไรถึงจะยกระดับการสาธารณสุขของไทยได้
จะทำอย่างไรจึงจะทำให้กองทัพมีความโปร่งใส...
การวิพากษ์วิจารณ์ทางโซเชียล
คือเสียงสะท้อนการทำงานของรัฐบาลทหารที่ปล้นอำนาจมา
และเสียงสะท้อนก็ออกมาในทางที่ว่า คสช.นั้นแสนห่วยแตก หลอกลวง...
อย่ากลัวจนขี้ขึ้นสมองไปหน่อยเลย
ประชาชนจะไม่มีวันแพ้ บอกไว้เลยตรงนี้”
โนคอมเม้นต์ ถ้าไม่ตามนั้นก็ตามน้ำนะ