ที่มา FB
อานนท์ นำภา
อาทิตย์หน้าผมมีคดีที่ต้องขึ้นศาล ๔ คดี ทั้งหมดเป็นคดีที่ในประเทศที่เป็นเสรีประชาธิปไตยย่อมไม่มีโอกาสเกิดขึ้นแน่นอน แต่สำหรับประเทศบ้าบอแบบที่นี่คดีเหล่านี้ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือและไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย
พรุ่งนี้ เป็นคดีที่ชาวบ้านเสื้อแดงที่ราชบุรีถูกกล่าวหาว่าดูหมิ่นตำรวจว่าเลียเท้าทหาร จากกรณีที่เข้าตรวจค้นบ้านโดยไม่มีหมายจับหมายค้น
วันอังคาร คดีถูกกล่าวหาว่า
(๑)โพสต์เสียดสีสุนัขของในหลวงรัชกาลที่ ๙
(๒) กดไลค์เพจที่มีข้อความหมิ่น
(๓) โพสต์เรื่องการทุจริตโครงการอุทยานราชภักดิ์
คดีนี้ ๒ ข้อหาแรกเป็น ม.๑๑๒ และข้อหาหลังเป็น ม.๑๑๖
วันพุธ คดีถูกกล่าวหาว่า
(๑)โพสต์บทกวีเข้าข่าย ๑๑๒
(๒)โพสต์เนื้อเพลง "เทวดาเดินดิน" ของพี่แจ้และรูปประกอบ
(๓)โพสต์เรื่องผู้อยู่เบื้องหลังกบฎบวรเดช
ทั้ง ๓ ถูกฟ้องด้วย ม.๑๑๒
วันพฤหัส คดีไผ่ ดาวดิน ตาม พรบ.ประชามติที่ อ.ภูเขียว
ทุกคดีมีความสำคัญทั้งในแง่กฎหมายและประวัติศาสตร์การเมืองไทย คดีเหล่านี้จะช่วยจารึกถึงความวิปริตของการใช้กฎหมายและจุดมืดทางประวัติศาสตร์
ในแง่ความเป็นมนุษย์ เรากำลังแสดงความเป็นมนุษย์ เสรีภาพ และความหวังไปพร้อมๆกัน
ปล. ไผ่จะขึ้นศาลที่ภูเขียววันพฤหัสบดีที่ ๑๖ นี้ ท่านที่สะดวกและอยากไปเที่ยวบ้านไผ่ดาวดิน ร่วมเดินทางไปเจอกันที่ภูเขียวได้ ส่วนผมเสร็จคดีที่ศาลทหารกรุงเทพคงเดินทางไปถึงเย็นวันที่ ๑๕ ถ้ามีโอกาส เราอาจจะได้ร่วมกินข้าวเย็นกัน
...
ไอ้ไผ่นี่มันตายยากจริงๆ กำลังบ่นหาหมายก็มาพอดี #โย่ว
.....
จริงๆไม่ค่อยชอบการเป็นทนายความเท่าไหร่ คุยกันกับเพื่อนว่าถ้าคดีการเมืองหมดไป เหตุการณ์ทางการเมืองคลี่คลายไป จะหลบไปใช้ชีวิตเงียบๆกับตัวเองสักพัก อาจเป็นหลายเดือนหรืออาจจะเป็นปี อยากทบทวนเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา
ตื่นเช้าพร้อมสายหมอก แสงแดดอุ่นๆ และกาแฟ พอย่ำค่ำก็ดื่มด่ำกับเบียร์เย็นๆ แสงดาว และเสียงแมลงกลางคืน
เคยถามตัวเองเหมือนกันว่าอยากใช้ชีวิตครึ่งหลังยังไง แน่นอนว่าถ้านับจากวันนี้มันก็มีความเสียงจะติดคุกติดตารางสักพัก ฮ่าฮ่า ซึ่งขออย่าเป็นเช่นนั้นเลย ชีวิตครึ่งหลังเดิมทีก็อยากมีใครสักคนใช้ชีวิตร่วมกัน ชีวิตที่ไม่ต้องมีใครรู้จักมากนัก อาจเป็นบ้านเล็กๆตามต่างจังหวัด ที่มีห้องหนังสือและร้านขายกาแฟ อาจจะรับว่าความคดีชาวบ้านที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมบ้าง แต่ไม่คิดที่จะไปทำคดีธุรกิจอะไร
จนแล้วจนรอด ก็คงทำได้แค่ปล่อยใช้โชคชะตาพาไป วันนี้ก็ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่หลงลืม มีค่าใช้จ่าย มีค่าดำรงชีพ มีเบียร์กิน และดื่มกับมิตรสหายบ้างตามวาระ
ชีวิตครึ่งหลังคงออกแบบไม่ได้ ตราบเท่าที่ยังเดินบนถนนสายนี้ มีเพื่อนที่เร่าร้อนและมั่นคงที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม...
.....
มีเรื่องไม่สบายใจจะเล่าให้ฟัง
ในบรรดาคดีการเมืองที่รับทำอยู่ มันมีคดีอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งในชั้นพิจารณามีปัญหาอยู่ คือคดีเกี่ยวกับการทุจริตในโครงการอุทยานราชภักดิ์ ที่ทหารที่เกี่ยวข้องเป็นนายทหารที่มีอำนาจอยู่ในขณะนี้
.
ในชั้นศาล ศาลมักจะไม่ยอมเรียกนายทหารเหล่านั้นมาเป็นพยานเพื่อให้ทนายความจำเลยซักถามในคดี เช่น คดีที่จ่านิวกับพวกไปตรวจสอบการทุจริตอุทยานราชภักดิ์ คดีนั้นอัยการศาลทหารฟ้องว่าคนที่ไปตรวจสอบโครงการต้องการทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลทหาร ทีมทนายก็สู้ว่าไม่ได้ต้องการทำลายความน่าเชื่อถือ แต่มันมีมูลเรื่องนี้อยู่จริง มันไม่ใช่การกรุข่าวขึ้นมา คดีนั้นเราขอให้ศาลเรียกนายทหารที่เกี่ยวข้องมาขึ้นศาลเป็นพยาน ศาลทหารไม่ยอมรับบัญชีพยานและไม่เรียกให้ คดีต้องเลื่อนการตรวจพยานมาแล้ว ๒ ครั้ง
.
พรุ่งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งซึ่งจำเลยถูกกล่าวหาว่าโพสต์เรื่องการทุจริตในโครงการอุทยานราชภักดิ์ เป็นภัยต่อความมั่นคง ทีมทนายความก็ได้ยื่นบัญชีพยบานและขอให้ศาลเรียกนายทหารที่เกี่ยวข้องมาเบิกความ ซึ่งความไม่สบายใจของผมตอนนี้คือ ศาลทหารก็อาจจะไม่ยอมรับบัญชีพยานและเรียกนายทหารเหล่านั้นมาชี้แจง
.
ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วจำเลยจะต่อสู้คดีได้อย่างไร ?
.
มันเป็นความไม่สบายใจ และเป็นเรื่องกดดันในความรับผิดชอบของคนเป็นทนายความพอสมควร
.
ผมเชื่อและเคารพในบุคคลากรทางกฎหมายว่าคงรู้และเข้าใจว่าพยานเหล่านั้นเป็นพยานที่สำคัญในคดี และสามารถพิสูจน์ความผิดถูกของจำเลยได้ แต่ในความไม่ปกติของกระบวนการยุติธรรม มันทำให้เราไม่กล้าอำนวยความยุติธรรมได้
.
ทุกครั้งที่ผมเจอเรื่องแบบนี้ ผมมักจะหวนคิดไปถึงตอนที่ผมเป็นนักเรียนกฎหมายในมหาลัย ตอนนั้นเรามีความมุ่งหวังที่จะสร้างความเป็นธรรมในสังคม หวังจะใช้กฎหมายเพื่ออำนวยความยุติธรรม พอตอนนี้เราไม่อาจทำได้อย่างที่เราเคยมุ่งหวัง มันจึงเป็นเรื่องไม่สบายใจและทุกข์ใจระคนกันไป
.
ในฐานะทนายความ เราปวารณาตัวว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการให้ความเป็นธรรม ก็คงต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมเชื่อว่า "ความถูกต้อง" จะเป็นเกราะให้เราเสมอ
.
และตลอดไป...
.....จริงๆไม่ค่อยชอบการเป็นทนายความเท่าไหร่ คุยกันกับเพื่อนว่าถ้าคดีการเมืองหมดไป เหตุการณ์ทางการเมืองคลี่คลายไป จะหลบไปใช้ชีวิตเงียบๆกับตัวเองสักพัก อาจเป็นหลายเดือนหรืออาจจะเป็นปี อยากทบทวนเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา
ตื่นเช้าพร้อมสายหมอก แสงแดดอุ่นๆ และกาแฟ พอย่ำค่ำก็ดื่มด่ำกับเบียร์เย็นๆ แสงดาว และเสียงแมลงกลางคืน
เคยถามตัวเองเหมือนกันว่าอยากใช้ชีวิตครึ่งหลังยังไง แน่นอนว่าถ้านับจากวันนี้มันก็มีความเสียงจะติดคุกติดตารางสักพัก ฮ่าฮ่า ซึ่งขออย่าเป็นเช่นนั้นเลย ชีวิตครึ่งหลังเดิมทีก็อยากมีใครสักคนใช้ชีวิตร่วมกัน ชีวิตที่ไม่ต้องมีใครรู้จักมากนัก อาจเป็นบ้านเล็กๆตามต่างจังหวัด ที่มีห้องหนังสือและร้านขายกาแฟ อาจจะรับว่าความคดีชาวบ้านที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมบ้าง แต่ไม่คิดที่จะไปทำคดีธุรกิจอะไร
จนแล้วจนรอด ก็คงทำได้แค่ปล่อยใช้โชคชะตาพาไป วันนี้ก็ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่หลงลืม มีค่าใช้จ่าย มีค่าดำรงชีพ มีเบียร์กิน และดื่มกับมิตรสหายบ้างตามวาระ
ชีวิตครึ่งหลังคงออกแบบไม่ได้ ตราบเท่าที่ยังเดินบนถนนสายนี้ มีเพื่อนที่เร่าร้อนและมั่นคงที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม...
.....
มีเรื่องไม่สบายใจจะเล่าให้ฟัง
ในบรรดาคดีการเมืองที่รับทำอยู่ มันมีคดีอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งในชั้นพิจารณามีปัญหาอยู่ คือคดีเกี่ยวกับการทุจริตในโครงการอุทยานราชภักดิ์ ที่ทหารที่เกี่ยวข้องเป็นนายทหารที่มีอำนาจอยู่ในขณะนี้
.
ในชั้นศาล ศาลมักจะไม่ยอมเรียกนายทหารเหล่านั้นมาเป็นพยานเพื่อให้ทนายความจำเลยซักถามในคดี เช่น คดีที่จ่านิวกับพวกไปตรวจสอบการทุจริตอุทยานราชภักดิ์ คดีนั้นอัยการศาลทหารฟ้องว่าคนที่ไปตรวจสอบโครงการต้องการทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลทหาร ทีมทนายก็สู้ว่าไม่ได้ต้องการทำลายความน่าเชื่อถือ แต่มันมีมูลเรื่องนี้อยู่จริง มันไม่ใช่การกรุข่าวขึ้นมา คดีนั้นเราขอให้ศาลเรียกนายทหารที่เกี่ยวข้องมาขึ้นศาลเป็นพยาน ศาลทหารไม่ยอมรับบัญชีพยานและไม่เรียกให้ คดีต้องเลื่อนการตรวจพยานมาแล้ว ๒ ครั้ง
.
พรุ่งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งซึ่งจำเลยถูกกล่าวหาว่าโพสต์เรื่องการทุจริตในโครงการอุทยานราชภักดิ์ เป็นภัยต่อความมั่นคง ทีมทนายความก็ได้ยื่นบัญชีพยบานและขอให้ศาลเรียกนายทหารที่เกี่ยวข้องมาเบิกความ ซึ่งความไม่สบายใจของผมตอนนี้คือ ศาลทหารก็อาจจะไม่ยอมรับบัญชีพยานและเรียกนายทหารเหล่านั้นมาชี้แจง
.
ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วจำเลยจะต่อสู้คดีได้อย่างไร ?
.
มันเป็นความไม่สบายใจ และเป็นเรื่องกดดันในความรับผิดชอบของคนเป็นทนายความพอสมควร
.
ผมเชื่อและเคารพในบุคคลากรทางกฎหมายว่าคงรู้และเข้าใจว่าพยานเหล่านั้นเป็นพยานที่สำคัญในคดี และสามารถพิสูจน์ความผิดถูกของจำเลยได้ แต่ในความไม่ปกติของกระบวนการยุติธรรม มันทำให้เราไม่กล้าอำนวยความยุติธรรมได้
.
ทุกครั้งที่ผมเจอเรื่องแบบนี้ ผมมักจะหวนคิดไปถึงตอนที่ผมเป็นนักเรียนกฎหมายในมหาลัย ตอนนั้นเรามีความมุ่งหวังที่จะสร้างความเป็นธรรมในสังคม หวังจะใช้กฎหมายเพื่ออำนวยความยุติธรรม พอตอนนี้เราไม่อาจทำได้อย่างที่เราเคยมุ่งหวัง มันจึงเป็นเรื่องไม่สบายใจและทุกข์ใจระคนกันไป
.
ในฐานะทนายความ เราปวารณาตัวว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการให้ความเป็นธรรม ก็คงต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมเชื่อว่า "ความถูกต้อง" จะเป็นเกราะให้เราเสมอ
.
และตลอดไป...
.....
สู้ อดทน เป็นกำลังใจให้ ครับ