ขำกลิ้งจริงแหละอย่างไทยรัฐว่า
ตำรวจไปจับแม่ค้าหวยชุดของกองสลากฯ ๓ ราย ขายเกินราคา หน้าตั๋ว ๘๐ ขาย ๑๐๐
แม่ค้าหัวเราะก๊าก บอกทั่นเจ้าพนักงาน
อิฉันซื้อมาก็ ๙๖ บาทแล้ว ขาย ๑๐๐ บาทก็ได้แค่ ๔ บาท จะไม่ให้กำไรบ้างเลยเหรอ
เอารายละเอียดเสียหน่อย ทั่นรองผู้กำกับฯ
ภูธร คลองหลวง ปทุมฯ ยกพวกไปยังแผงล็อตเตอรี่ริมถนนเลียบคลองตามเบาะแสพลเมืองดีแจ้ง
พบสามสามขายหวยชุดราคาเกิน ๘๐ บาทต่อใบ จึงทำการจับกุม
“ตามนโยบายของรัฐบาลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมแม่ค้าพ่อค้าที่ขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา”
พ.ต.ต.ฐานพันธ์ เฉลิมพัชรพรกุล อ้างทำตามหน้าที่ “นำตัวแม่ค้าทั้ง ๓ คน ส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป”
หนึ่งในสามแม่ค้าหวยอายุมากที่สุด ๓๖ ปี (อีกสองคนยังเป็นนางสาว
วัยยี่สิบกว่าๆ) ให้การตามตรงว่า สลากใบเดี่ยวที่ไม่ได้เป็นชุดนั่นถึงขาย ๘๐ บาทได้
เพราะต้นทุนอยู่ที่ ๗๔ ถึง ๗๙ บาท
แต่สลากแบบชุดที่คนชอบซื้อนั่นต้นทุน ๙๖ บาท
แล้วจะให้ขาย ๘๐ ได้ไง คุณตำรวจควรต้องไปศึกษา ‘ทฤษฎีทำกำไร’ ของโจเซ็ฟ ชัมพีเตอร์ ไว้บ้างก็ดีนะ จะให้ลงแรงวิ่งเหนื่อยเพื่อคนออกเงินบริจาคซื้อเครื่องมือการแพทย์ช่วยโรงพยาบาลแทนอย่าง
‘ตูน บอดี้สแลม’ ไม่ได้หรอก
คนละเรื่องทำนองเดียวกัน
รัฐบาลขี้ตู่ไม่รู้วิธีช่วยคนจนด้วยการให้เบ็ด ก็เลยให้ปลา
แต่ปลาก็หายากแม้จะปลาซิวปลาสร้อย จึงให้ปลากระป๋องแทน อีกน่ะแหละบางทีบ่อยครั้งกระป๋องเก่าปลาข้างในเน่าก็มี
อย่างเช่นนโยบายแจกบัตรเครดิตแก่ผู้มีรายได้น้อยใช้ซื้อข้าวของจากร้านธงฟ้าประชารัฐ
ปรากฏบ่นกันอุบว่าของราคาแพงกว่าข้างนอก
ดังตัวอย่างการสนทนาที่เก็บมาจากเพจของหมอชัยวุฒิ สุวรรณโณ
ชลิต ลลิตาภรพงศ์ ว่า “สินค้าก็ไม่ใช่ราคาประหยัดนะครับ...ผมเจอมากับตัว
น้ำมันตราทับทิม พวกขาย ๔๒.- มาดูร้าน 711
ราคาแค่ ๓๒.- เอง
‘รถดี’ ถุงขนาดกลางพวกขายราคาเต็มตามที่ระบุข้างซองเลย
ซึ่งตามตลาดทั่วไปจะขายไม่ถึง แล้วแบบนี้จะเป็นสินค้าราคาประหยัดได้อย่างไร”
ด้าน สมใจ
หมอยา ขานรับ “ใช่ค่ะ...ธงฟ้าไปขายตามบริษัทต่างๆ
ลูกเราซื้อมา...บางอย่างแพงกว่าที่เราไปซื้อที่โลตัสซะอีกนะ”
เบญ เบญ ก็เช่นกัน บอก “คนที่เช่าอยู่ตึกเดียวกัน
เขาไปใช้บัตร แพงกว่าเยอะเลย ธงฟ้าราคาเต็มข้างกล่องข้างซองข้างขวดเลย แต่ข้างนอกเขามีลดเยอะแยะ
ป้าแกไปใช้บัตร แกบอกว่าผงซักผ้า ๙๐๐ กรัมแกซื้อข้างนอกตามตลาดร้านค้า
๔๐ บาท แต่ร้านธงฟ้า ๖๐บาท เรายังอุทานเลยว่าป้าจำผิดหรือเปล่า
ปริมาณมันน้อยมากกว่ากันหรือเปล่า แกบอกว่าเท่ากันเลย”
ซ้ำร้าย “เวลาเราซื้อเงินเราไม่หมด ๔, ๕ บาท ร้านก็จะยึด แต่ถ้าเราซื้อเกิน ๔, ๕ บาทเราก็ต้องจ่ายเพิ่ม
เพราะบัตรใช้ได้แต่ละครั้งให้หมดภายใน ๑ เดือน สะสมเงินที่เหลือไปเดือนหน้าไม่ได้
นี่แหละวิธีช่วยคนจนของเขา
คนจนเป็นหมากตัวหนึ่ง”
จึงมีคนคิดโครงการขอดเกล็ดล้อเลียน คสช.
ใช้ชื่อเพจอะไรนิวส์ๆ นี่ละ ว่า “ตู่ บอดี้สลิ่ม
เตรียมผุดโครงการใหม่วิ่งรีดภาษีจากแม่สายกลับไปเบตง”
เนื่องจาก “เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า
ประชาชนมีศักยภาพที่พร้อมจะบริจาค...ก็ต้องมีศักยภาพ พร้อมที่จะจ่ายภาษี...”
เพื่อที่ทีม คสช. ของประยุทธ์จะได้วิ่งซื้ออาวุธคล่องๆ
ว่าถึงการซื้ออาวุธนี่ ประชาไท เขาทำ ‘สาระ+ภาพ’ เกี่ยวกับงบประมาณกลาโหมไว้น่าคิด
ควรที่พวกนิยมทหารควรดู จะเห็นว่าทหารสามารถช่วยสาธารณะสุขได้โดยไม่ต้องออกแรงวิ่งอย่างพี่ตูน
“ด้วยการตัดงบกระทรวงงบกลาโหม ๑%
จนถึง ๑๐% เพื่อเพิ่มงบประมาณด้านสาธารณสุขให้กับประเทศ”
เขาคำนวณออกมา งบฯ กลาโหมปีหน้า ๒๒๐,๕๒๓
ล้านบาท (เท่ากับร้อยละ ๗.๖ ของงบประมาณทั้งแผ่นดิน) หากผันเอา ๑ เปอร์เซ็นต์ไปให้โรงพยาบาลในโครงการ
‘ก้าวคนละก้าว’ จะได้
๒,๒๐๕ ล้านบาท ช่วยโรงพยาบาลได้ ๓๓ แห่ง มากกว่าการวิ่งครั้งที่สองของตูน ๓ เท่า
ยิ่งถ้าสามารถลดงบกลาโหมได้ ๑๐ เปอร์เซ็นต์
ก็จะช่วยโรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่ได้ถึง ๓๓๐ แห่ง มิดีกว่าหรือ ไม่ต้องวิ่ง
แล้วยังจะลบภาพ “กะลาใบใหญ่ที่สุดที่ครอบประเทศไทย” ได้ด้วย
ซ้ำยังไม่ต้องคอยโกหกพกลมต่อประชาชนว่าเศรษฐกิจกำลังขยายตัว
ประเดี๋ยวก็รวย อยู่นั่นแล้วสามปีกว่า ประชาชนไม่เพียงเป็น ‘กบในกะลา’ แต่กำลังจะ ‘ตายหยังเขียด’
กันเกือบถ้วนหน้ามหภาค
ดังนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรฯ ชี้ชัด “ภาวการณ์คึกคักทางเศรษฐกิจดังกล่าวกลับไม่ปรากฏในภาพรวมของเศรษฐกิจฐานราก...การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
จะกระจุกตัวอยู่เฉพาะกับกลุ่มธุรกิจส่งออกขนาดใหญ่บางกลุ่ม” เท่านั้น
อจ.เดชรัต สุขกำเนิด นำรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติต่อภาวะเศรษฐกิจสังคมในช่วงครึ่งแรกของปี
๒๕๖๐ มาวิเคราะห์ พบว่า
“ครัวเรือนถึง ๔๐%
ที่อยู่ในกลุ่มที่มีรายได้น้อยที่สุดของประเทศมีรายได้ลดลงหรือจนลง
ในขณะที่กลุ่มครัวเรือนที่รวยที่สุดยังมีรายได้เพิ่มขึ้น...
ย่อมส่งผลให้ดัชนีความเหลื่อมล้ำของรายได้
(หรือค่าสัมประสิทธิ์จินี่) เพิ่มมากขึ้นจาก ๐.๓๓๗ เป็น
๐.๓๔๑ ในปี ๒๕๖๐ หรือมีความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น ๑.๒% ในช่วงเวลา ๒ ปี”
นอกจากนี้ยังมีตัวเลขภาวะหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจากปี
๕๘ จำนวน ๕.๘ เท่าของรายได้ มาเป็น ๖.๖ เท่าของรายได้ในปี ๖๐ “ภาวะฝืดเคืองในเศรษฐกิจในประเทศจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามมา”
ดร.เดชรัตชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจของไทยเป็นแบบแข็งนอกอ่อนใน
หรือ แข็งบนอ่อนล่างนี้ “น่าจะเป็นคำถามที่ คสช. ต้องตอบพี่น้องประชาชน มากกว่า...
เพราะปัญหาของประชาชนสำคัญกว่าการสืบทอดอำนาจเสมอ”