วันจันทร์, พฤศจิกายน 27, 2560

“ไอ้รุ่น ๕๙ ที่ทำน้องเมยตาย...เป็นลูกเป็นหลานใครสักคน”

สแกนข่าวเมื่อเช้า ไม่ค่อยมีคนสนใจการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของรัฐบาล คสช. กันมากนัก แม้นจะมีรัฐมนตรีที่หลุดตำแหน่งโอดครวญอยู่บ้าง และคนใหม่ๆ ก็ล้วนหน้าเก่าๆ พวกนั่งร้านฐานสร้างความชอบธรรมให้แก่ คสช. มาก่อนทั้งนั้น

ซึ่งประเด็นควรแก่การสนใจเป็นเพียงเสียงเบาๆ แว่วออกมาจากอนุสรณ์สถาน ๖ ตุลา ในการเสวนาหัวข้อ ปรองดองแบบ คสช. เมื่อไรจะเจออุโมงค์ที่จัดโดยคณะกรรมการญาติวีรชน พฤษภา ๓๕ เมื่อแกนนำจากพรรคเพื่อไทยกับรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กลับมาพูดถึงประเด็นที่ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่จะลืมๆ เลือนๆ กันไปมากแล้ว

เนื่องเพราะ “หลังเลือกตั้งอาจได้รัฐบาลที่ประชาชนไม่ได้เลือก” ถึงกระนั้นยังส่อให้เห็นแสงริบหรี่อยู่บ้าง ตามคำของนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการณ์หัวหน้าพรรค พท. ว่า “ถ้าสองพรรคใหญ่จับมือกันมีโอกาสตั้งรัฐบาลได้” 
แม้นว่า “อาจอยู่อย่างไม่ราบรื่น เพราะมีเงื่อนไขเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ หากไม่ทำก็อาจถูกถอดถอน” กระนั้นแกนนำเพื่อไทยไม่ยอมถอดใจ บอก “อย่างไรก็ตามไม่ควรปิดโอกาสการร่วมมือระหว่างสองพรรคใหญ่ หากไม่ต้องการให้ คสช.สืบทอดอำนาจต่อไปสิบปีหรือยี่สิบปี”

ขณะที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค ปชป. ย้ำว่า “เป็นเรื่องยากที่จะหวังให้ คสช.เป็นผู้นำทางไปสู่แสงสว่าง สิ่งที่ดีที่สุดคือต้องคืนอำนาจให้ประชาชน แต่รัฐบาลกลับพยายามอยู่ให้นานที่สุด...

จึงอาจเกิดสภาพที่นักมวยหันมาจับมือกันไล่ถลุงกรรมการ เพื่อเปลี่ยนกติกาที่ไม่เป็นธรรม เอาระบบที่ไม่พึงปรารถนาออกไป เซ็ตซีโรระบบ คสช.”


รองหัวหน้าคนเดียวคงไม่สามารถกำหนดทิศทางของพรรคที่เคยตั้งรัฐบาลได้ก็เพราะทหาร คสช.ชุดนี้แหละ ในพรรคยังมีพวกฟ้าใสอิทธิพลสูงและติ่งทหารอย่าง กปปส. อีกมาก

จนทำให้ข้อเสนอของนายนิพิฏฐ์เรื่อง “พรรคการเมืองทุกพรรคจับมือกันตั้งรัฐบาล แทนที่จะสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง แม้ว่าโอกาสจะน้อยก็ตาม เราคุยกันด้วยเลือดและชีวิตมาพอแล้ว ต้องหันมาใช้สันติวิธี” เห็นทีจะเป็นไปได้ยาก

อีกทั้งสังคมโดยรวมยังคงแตกแยกเกินกว่าจะประสานได้ง่ายๆ ในสภาพที่การครองอำนาจของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ได้แสดงถึงอาณัติอันแท้จริงจากประชาชน สะท้อนจิตสำนึกกดขี่เหยียดหยามต่อกันอย่างฝังในไขข้อกระดูก

กรณีนักเรียนเตรียมทหารปีหนึ่งเสียชีวิตในโรงเรียน นัยว่าบอบช้ำจากการถูกซ่อมสไตล์ ซ้อมจากรุ่นพี่แล้วฝ่ายแพทย์ของโรงเรียนพยายามปกปิดความจริง เป็นเหตุให้เรื่องนี้ ไม่จบจนกระทั่งวันนี้

ทำไงได้ ในเมื่อเกิดความรู้สึกแพร่หลายว่า “เด็กเตรียมทหารถูกปลูกฝังความคิดดูถูกคนอื่น – โลกแคบ” ตามที่เว็บไซ้ท์ กะปุกพาดหัว

ในเมื่อมี รุ่นพี่ คนหนึ่งโพสต์ข้อความในนาม #ทีมแอดมินกลุ่มมุ่งสู่โรงเรียนเตรียมทหาร ว่า “นักเรียนเตรียมทหารไม่ใช่ฆาตกร ไม่ใช่ชนชั้นล่าง ท่องไว้ ศรัทธา”

โพสต์นี้กล่าวหาว่า “สื่อสังคมออนไลน์นั้นแหละทำให้ระบบเสีย ทหารก็คือทหาร จะมาก๋องแก๋งตามกระแสแบบโรงเรียนมัธยมอื่นๆ ก็ไม่ใช่ คำว่า ศรัทธา คือต้องยอมรับ ต้องเข้าใจ ต้องรัก ต้องหวังดี ต้องเชื่อมั่น”
ยังผลให้มีปฏิกิริยาไม่สมานฉันท์จากสังคมออนไลน์ บ้างย้อน “พี่จบจากโรงเรียนธรรมดาแต่พี่หาเงินได้ เสียภาษีปีละหลายบาท เพื่อให้เอาภาษีพวกนี้ไปจ่ายเป็นเงินเดือนพวกน้อง แบบนี้ใครกันแน่ที่เป็นชนชั้นล่าง”

อีกรายบอก “เคยคิดและชื่นชมมาตลอดว่าสถาบันแห่งนี้เป็นสถาบันที่ทรงเกียรติ ฝึกฝนลูกผู้ชายให้เป็นสุภาพบุรุษ เป็นประชากรที่มีคุณภาพ มีคุณธรรม...

ที่ไหนได้มารู้แจ้งเห็นจริงในยุคนี้ว่าไม่ต่างจากสถานพินิจ ไม่ต่างจากสถาบันที่เป็นแหล่งรวมอาชญากรรุ่นเยาว์”


ยังดี มีรุ่นพี่อีกคนพอจะรู้ผิดชอบชั่วดี ตั้งคำถามว่า “คุณต้องคิดก่อนว่าตอนนี้คุณกำลังคลั่งสถาบันรึเปล่า คุณกำลังนำเกียรติยศและศักดิ์ศรีในอาชีพมาข่มศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์หรือไม่...

การกระทำของพวกคุณเหมือนการโยนขี้ขึ้นฟ้า ซึ่งในที่สุดขี้จะตกลงมาใส่ตัวคุณและโรงเรียนเตรียมทหาร...

หากเรายังยึดมั่นแต่ในเกียรติและศักดิ์ศรีจนเกินไป ยึดมั่นแต่ในระบบเดิมๆ ความคิดเดิมๆ ยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ยังปกป้องคนที่กระทำผิด ยังรักสถาบันผิดทาง และยังมองข้ามความเป็นมนุษย์ เหตุการณ์แบบนี้คงจะเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ แบบไม่มีวันที่สิ้นสุด...

ไม่มีใครทำลายพวกเราได้ ยกเว้นพวกเราเอง” เขาว่า


ในสภาพที่มีแต่ คสช.รู้ดี ประชาชนต้องถูกจูงจึงจะไปได้ สวัสดิภาพ สวัสดิการของ ชนชั้นล่าง จะฉิบหายวายป่วงเป็นเรื่องต้องอดทน ดราม่าเป็นสิ่งที่คนไทยทั่วไปในยุคนี้ถือเป็นอานิสงค์

กรณี นตท. ตายปริศนา แทนที่จะค้นหาความจริงว่าใครเป็นผู้กระทำ ใครรับผิดชอบ ดังที่พ่อแม่และพี่ของผู้ตายเรียกร้อง กลับเลี่ยงไปพูดถึงศักดิ์ศรีของวิชาชีพผู้สวมเครื่องแบบเสียฉิบ

ความจริงเริ่มปรากฏบ้างแล้วแต่ยังไม่หมด จากการชันสูตรศพครั้งหลัง “พบว่าตับมีการคั่งเลือดเล็กน้อย กับม้ามมีการคั่งเลือด” โดยการคั่งเลือดจุดเหล่านี้ห่างจากบริเวณซี่โครงหัก ซี่ที่สี่ด้านขวา ดังที่ทาง รพ.พระมงกุฏชี้แนะว่าอาจเป็นเหตุจากก่อนตายมีการทำซีพีอาร์ถึง ๔ ชั่วโมง

แล้วยังมีเรื่องที่ทีมแพทย์พยาธิหัวใจเพิ่งแจ้งว่า “พบเซลล์ในหัวใจน้องบางตัวที่โต ต่างจากเด็กในวัยเดียวกัน”
ทว่า น.ส.สุพิชชา ตัญกาญจน์ พี่สาวผู้ตายเผยว่าเมื่อ ๑๓ ตุลา พาน้องไปรักษาที่ รพ.สมิติเวช ศรีราชา “มีการเอ็กซเรย์ช่วงปอดตรงรอยโรค ไม่มีอะไรระบุชัดเจน แต่หัวใจมีการระบุว่าขนาดปกติ ไม่มีอะไรระบุว่าขนาดหัวใจโต เพราะหมอได้ติดตามดูอยู่”


ในเมื่อข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้ น่าที่จะพุ่งประเด็นไปที่อะไรทำให้อวัยวะภายในเกิดเลือดคั่ง และใครล่ะเป็นผู้กระทำ ไม่ใช่เรื่องศักดิ์ศรีโรงเรียนเตรียมทหาร หรือว่าการฝึกหนักไม่ควรมี จุดสำคัญอยู่ที่การ ซ่อมตามอำเภอใจของรุ่นพี่ โดยไม่คำนึงว่ามันถึงตายได้
มีเบาะแสที่แผนกสืบสวนควรใส่ใจเสาะค้น จากโพสต์ออนไลน์เรื่อง “ไอ้รุ่น ๕๙ ที่ทำน้องเมยตาย” เคยทำเรื่องไว้ตั้งแต่อยู่ปี ๑ แล้ว “เป็นรุ่นที่น้องผมสอนมา ซึ่งแตะต้องไม่ได้ ลูกท่านเยอะ ฝึกมาสบายกว่าเขา

บอกเลยที่กองทัพต้องปกปิดแบบนี้เพราะเด็กคนเดียว เป็นลูกเป็นหลานใครสักคน” นั่นนะ อาจเป็นไม้ขีดก้านเดียวที่ทำให้ทั้งโรงเรียนมอดไหม้เป็นจุลก็ได้