สแกนข่าวเมื่อเช้า ไม่ค่อยมีคนสนใจการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของรัฐบาล
คสช. กันมากนัก แม้นจะมีรัฐมนตรีที่หลุดตำแหน่งโอดครวญอยู่บ้าง และคนใหม่ๆ
ก็ล้วนหน้าเก่าๆ พวกนั่งร้านฐานสร้างความชอบธรรมให้แก่ คสช. มาก่อนทั้งนั้น
ซึ่งประเด็นควรแก่การสนใจเป็นเพียงเสียงเบาๆ
แว่วออกมาจากอนุสรณ์สถาน ๖ ตุลา ในการเสวนาหัวข้อ ‘ปรองดองแบบ
คสช. เมื่อไรจะเจออุโมงค์’ ที่จัดโดยคณะกรรมการญาติวีรชน
พฤษภา ๓๕ เมื่อแกนนำจากพรรคเพื่อไทยกับรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กลับมาพูดถึงประเด็นที่ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่จะลืมๆ
เลือนๆ กันไปมากแล้ว
เนื่องเพราะ “หลังเลือกตั้งอาจได้รัฐบาลที่ประชาชนไม่ได้เลือก”
ถึงกระนั้นยังส่อให้เห็นแสงริบหรี่อยู่บ้าง ตามคำของนายจาตุรนต์ ฉายแสง
อดีตรักษาการณ์หัวหน้าพรรค พท. ว่า “ถ้าสองพรรคใหญ่จับมือกันมีโอกาสตั้งรัฐบาลได้”
แม้นว่า “อาจอยู่อย่างไม่ราบรื่น
เพราะมีเงื่อนไขเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ หากไม่ทำก็อาจถูกถอดถอน”
กระนั้นแกนนำเพื่อไทยไม่ยอมถอดใจ บอก “อย่างไรก็ตามไม่ควรปิดโอกาสการร่วมมือระหว่างสองพรรคใหญ่ หากไม่ต้องการให้ คสช.สืบทอดอำนาจต่อไปสิบปีหรือยี่สิบปี”
ขณะที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ
รองหัวหน้าพรรค ปชป. ย้ำว่า “เป็นเรื่องยากที่จะหวังให้
คสช.เป็นผู้นำทางไปสู่แสงสว่าง สิ่งที่ดีที่สุดคือต้องคืนอำนาจให้ประชาชน แต่รัฐบาลกลับพยายามอยู่ให้นานที่สุด...
จึงอาจเกิดสภาพที่นักมวยหันมาจับมือกันไล่ถลุงกรรมการ เพื่อเปลี่ยนกติกาที่ไม่เป็นธรรม เอาระบบที่ไม่พึงปรารถนาออกไป เซ็ตซีโรระบบ คสช.”
รองหัวหน้าคนเดียวคงไม่สามารถกำหนดทิศทางของพรรคที่เคยตั้งรัฐบาลได้ก็เพราะทหาร
คสช.ชุดนี้แหละ ในพรรคยังมีพวกฟ้าใสอิทธิพลสูงและ ‘ติ่ง’
ทหารอย่าง กปปส. อีกมาก
จนทำให้ข้อเสนอของนายนิพิฏฐ์เรื่อง “พรรคการเมืองทุกพรรคจับมือกันตั้งรัฐบาล แทนที่จะสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง แม้ว่าโอกาสจะน้อยก็ตาม เราคุยกันด้วยเลือดและชีวิตมาพอแล้ว ต้องหันมาใช้สันติวิธี” เห็นทีจะเป็นไปได้ยาก
อีกทั้งสังคมโดยรวมยังคงแตกแยกเกินกว่าจะประสานได้ง่ายๆ
ในสภาพที่การครองอำนาจของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ได้แสดงถึงอาณัติอันแท้จริงจากประชาชน
สะท้อนจิตสำนึกกดขี่เหยียดหยามต่อกันอย่างฝังในไขข้อกระดูก
กรณีนักเรียนเตรียมทหารปีหนึ่งเสียชีวิตในโรงเรียน
นัยว่าบอบช้ำจากการถูก ‘ซ่อม’ สไตล์ ‘ซ้อม’ จากรุ่นพี่แล้วฝ่ายแพทย์ของโรงเรียนพยายามปกปิดความจริง
เป็นเหตุให้เรื่องนี้ ‘ไม่จบ’ จนกระทั่งวันนี้
ทำไงได้ ในเมื่อเกิดความรู้สึกแพร่หลายว่า
“เด็กเตรียมทหารถูกปลูกฝังความคิดดูถูกคนอื่น – โลกแคบ”
ตามที่เว็บไซ้ท์ ‘กะปุก’ พาดหัว
ในเมื่อมี ‘รุ่นพี่’ คนหนึ่งโพสต์ข้อความในนาม #ทีมแอดมินกลุ่มมุ่งสู่โรงเรียนเตรียมทหาร
ว่า “นักเรียนเตรียมทหารไม่ใช่ฆาตกร ไม่ใช่ชนชั้นล่าง ท่องไว้ ศรัทธา”
โพสต์นี้กล่าวหาว่า “สื่อสังคมออนไลน์นั้นแหละทำให้ระบบเสีย
ทหารก็คือทหาร จะมาก๋องแก๋งตามกระแสแบบโรงเรียนมัธยมอื่นๆ ก็ไม่ใช่ คำว่า ศรัทธา
คือต้องยอมรับ ต้องเข้าใจ ต้องรัก ต้องหวังดี ต้องเชื่อมั่น”
ยังผลให้มีปฏิกิริยาไม่สมานฉันท์จากสังคมออนไลน์
บ้างย้อน “พี่จบจากโรงเรียนธรรมดาแต่พี่หาเงินได้ เสียภาษีปีละหลายบาท
เพื่อให้เอาภาษีพวกนี้ไปจ่ายเป็นเงินเดือนพวกน้อง
แบบนี้ใครกันแน่ที่เป็นชนชั้นล่าง”
อีกรายบอก
“เคยคิดและชื่นชมมาตลอดว่าสถาบันแห่งนี้เป็นสถาบันที่ทรงเกียรติ
ฝึกฝนลูกผู้ชายให้เป็นสุภาพบุรุษ เป็นประชากรที่มีคุณภาพ มีคุณธรรม...
ที่ไหนได้มารู้แจ้งเห็นจริงในยุคนี้ว่าไม่ต่างจากสถานพินิจ
ไม่ต่างจากสถาบันที่เป็นแหล่งรวมอาชญากรรุ่นเยาว์”
ยังดี มีรุ่นพี่อีกคนพอจะรู้ผิดชอบชั่วดี
ตั้งคำถามว่า “คุณต้องคิดก่อนว่าตอนนี้คุณกำลังคลั่งสถาบันรึเปล่า
คุณกำลังนำเกียรติยศและศักดิ์ศรีในอาชีพมาข่มศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์หรือไม่...
การกระทำของพวกคุณเหมือนการโยนขี้ขึ้นฟ้า
ซึ่งในที่สุดขี้จะตกลงมาใส่ตัวคุณและโรงเรียนเตรียมทหาร...
หากเรายังยึดมั่นแต่ในเกียรติและศักดิ์ศรีจนเกินไป
ยึดมั่นแต่ในระบบเดิมๆ ความคิดเดิมๆ ยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ยังปกป้องคนที่กระทำผิด
ยังรักสถาบันผิดทาง และยังมองข้ามความเป็นมนุษย์
เหตุการณ์แบบนี้คงจะเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ แบบไม่มีวันที่สิ้นสุด...
ไม่มีใครทำลายพวกเราได้ ยกเว้นพวกเราเอง”
เขาว่า
ในสภาพที่มีแต่ คสช.รู้ดี
ประชาชนต้องถูกจูงจึงจะไปได้ สวัสดิภาพ สวัสดิการของ ‘ชนชั้นล่าง’ จะฉิบหายวายป่วงเป็นเรื่องต้องอดทน
ดราม่าเป็นสิ่งที่คนไทยทั่วไปในยุคนี้ถือเป็นอานิสงค์
กรณี นตท. ตายปริศนา
แทนที่จะค้นหาความจริงว่าใครเป็นผู้กระทำ ใครรับผิดชอบ
ดังที่พ่อแม่และพี่ของผู้ตายเรียกร้อง
กลับเลี่ยงไปพูดถึงศักดิ์ศรีของวิชาชีพผู้สวมเครื่องแบบเสียฉิบ
ความจริงเริ่มปรากฏบ้างแล้วแต่ยังไม่หมด
จากการชันสูตรศพครั้งหลัง “พบว่าตับมีการคั่งเลือดเล็กน้อย กับม้ามมีการคั่งเลือด”
โดยการคั่งเลือดจุดเหล่านี้ห่างจากบริเวณซี่โครงหัก ซี่ที่สี่ด้านขวา ดังที่ทาง
รพ.พระมงกุฏชี้แนะว่าอาจเป็นเหตุจากก่อนตายมีการทำซีพีอาร์ถึง ๔ ชั่วโมง
แล้วยังมีเรื่องที่ทีมแพทย์พยาธิหัวใจเพิ่งแจ้งว่า
“พบเซลล์ในหัวใจน้องบางตัวที่โต ต่างจากเด็กในวัยเดียวกัน”
ทว่า น.ส.สุพิชชา ตัญกาญจน์
พี่สาวผู้ตายเผยว่าเมื่อ ๑๓ ตุลา พาน้องไปรักษาที่ รพ.สมิติเวช ศรีราชา “มีการเอ็กซเรย์ช่วงปอดตรงรอยโรค
ไม่มีอะไรระบุชัดเจน แต่หัวใจมีการระบุว่าขนาดปกติ ไม่มีอะไรระบุว่าขนาดหัวใจโต
เพราะหมอได้ติดตามดูอยู่”
ในเมื่อข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้
น่าที่จะพุ่งประเด็นไปที่อะไรทำให้อวัยวะภายในเกิดเลือดคั่ง และใครล่ะเป็นผู้กระทำ
ไม่ใช่เรื่องศักดิ์ศรีโรงเรียนเตรียมทหาร หรือว่าการฝึกหนักไม่ควรมี
จุดสำคัญอยู่ที่การ ‘ซ่อม’ ตามอำเภอใจของรุ่นพี่ โดยไม่คำนึงว่ามันถึงตายได้
มีเบาะแสที่แผนกสืบสวนควรใส่ใจเสาะค้น
จากโพสต์ออนไลน์เรื่อง “ไอ้รุ่น ๕๙ ที่ทำน้องเมยตาย” เคยทำเรื่องไว้ตั้งแต่อยู่ปี
๑ แล้ว “เป็นรุ่นที่น้องผมสอนมา ซึ่งแตะต้องไม่ได้ ลูกท่านเยอะ ฝึกมาสบายกว่าเขา
บอกเลยที่กองทัพต้องปกปิดแบบนี้เพราะเด็กคนเดียว
เป็นลูกเป็นหลานใครสักคน” นั่นนะ
อาจเป็นไม้ขีดก้านเดียวที่ทำให้ทั้งโรงเรียนมอดไหม้เป็นจุลก็ได้