วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 26, 2560

‘ปรัชญาการตุ๋นไข่พะโล้’ กับ ‘ปรัชญาซิกู้’ พระราชทานโดยรัชกาลที่ ๑๐

Rises to the occasion. ท่ามกลางความอื้ออึงของการ ธำรงวินัยโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งมีอันให้นักเรียนชั้นปีหนึ่งคนหนึ่งเสียชีวิต หลังจากถูกรุ่นพี่ ซ่อม หนักติดต่อกันหลายครั้งหลายหน

ได้มีคำสั่ง ด่วนมาก จาก กพ.ทหาร ให้ส่วนราชการในกองบัญชาการกองทัพไทย ทั้งหน่วยฝึก หน่วยการศึกษา และหน่วยขึ้นตรง บก.ทท. ทำการฝึกทหารใหม่ นักเรียนทหาร และกำลังพลประจำการ ตาม คู่มือการฝึก/แบบฝึก พระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลกงรณ์ บดินทรเทพยวรางกูร ตั้งแต่ผลัด ๒/๖๐ เป็นต้นไป

คู่มือเหล่านั้นประกอบด้วย หลักปรัชญาของพระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่ กับ คู่มือการฝึกพระราชทาน ว่าด้วยแบบฝึกบุคคลท่ามือเปล่า และ คู่มือการฝึกพระราชทาน ว่าด้วยแบบฝึกบุคคลท่าอาวุธ

สำหรับสองคู่มือหลังนั้นจะขอละเว้นไม่กล่าวถึง ทิ้งไว้ให้ท่านทั้งหลายที่มีความสนใจเป็นพิเศษ และ/หรือช่ำชองเรื่องทำนองนั้น ดาวน์โหลดเพื่อศึกษาหรือชื่นชมรายละเอียดกันได้จาก ที่นี่ http://j1.rtarf.mi.th/new/download/hand.pdf และที่นี่ http://j1.rtarf.mi.th/new/download/armor.pdf ตามลำดับ

การนี้ขอขอบคุณ Somsak Jeamteerasakul นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกิจแห่งราชวงศ์ ที่นำมาเล่าสู่กันให้พสกนิกรได้ซาบซึ้งความเป็นไปในต้นสมัยแห่งรัชกาลที่ ๑๐ นี้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับหลัก ปรัชญาพระราชทานอันเกิดจาก “พระราชวิริยะอุตสาหะในการฝึกฝนพระองค์เอง จนเกิดเป็นความรู้อย่างแท้จริง”


ในเอกสารพระราชประวัติ และพระราโชบายด้านการฝึก นั้นกล่าวถึงหลักปรัชญาของพระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่ไว้ ๕ อย่างซึ่งจะได้รับความนิยมชมชอบในหมู่พสกนิกรท่วมท้นจนมาแทน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระราชบิดาดังที่ สศจ. ตั้งปุจฉาไว้ไหม ต้องดูต่อไปในภายภาคหน้า

ในบรรดาปรัชญาทั้งห้าของพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๑๐ ดูเหมือนว่ามีสองอย่างที่โดดเด่น น่าที่จะได้ทำความรู้จักกันไว้โดยถ้วนหน้า นั่นคือ ปรัชญาการตุ๋นไข่พะโล้ กับ ปรัชญาซิกู้

กรณีหลังนี้ปรับปรุงมาจากพระราชกรณีกิจที่ทรงปฏิบัติต่อรถ SIKU อันเป็นยี่ห้อรถยนต์ของเล่นจำลองขนาดเล็กที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โปรดตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์

ส่วนกรณี ปรัชญาการตุ๋นไข่พะโล้ หรือ การ Simmer นั้น “ทรงเปรียบเทียบลักษณะการฝึกอบรมทหารเหมือนกับการตุ๋นไข่พะโล้ให้มีรสชาติอร่อย” นั่นคือ “ใช้ความร้อนและเวลาที่เหมาะสม น้ำพะโล้จึงจะค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปยังเนื้อไข่

เปรียบเสมือนกับการฝึก หากฝึกอบรมแบบไม่จริงจัง ปฏิบัติแบบยวบยาบ เน้นแต่ภาพลักษณ์ที่ดูสวยงาม แต่ไม่เน้นเนื้อหาสาระ ไม่เคี่ยว ไม่อบ ไม่กลั่นให้ผู้รับการฝึกได้มีความรู้อย่างแท้จริง ก็จะไม่สามารถนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้”

ทางด้าน ปรัชญารถซิกู้นั้นเกิดจากเมื่อยังทรงพระเยาว์ ได้ทรง “ทดสอบทุกคันด้วยพระองค์เอง หากรถ SIKU คันใดมิได้มาตรฐาน ระบบขับเคลื่อนยังไม่ดี เข็นรถแล้ววิ่งไม่ตรงทิศทาง เอียงซ้ายเอียงขวา ก็จะทรงถอดชิ้นส่วนนำมาปรับแต่ง”

คู่มือพระราชทานระบุว่า “เปรียบเสมือนการที่ครูผู้ฝึกสอนจะต้องหมั่นสังเกตุ ให้คำแนะนำเคี่ยวเข็ญ ให้ผู้รับการฝึกสามารถเรียนรู้และปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง”

ปรัชญาอื่นๆ อีกสามอย่างที่พระราชทานลงมาให้บุคคลากรในแวดวงทหารทุกหน่วยเหล่าถือปฏิบัติ นั่นก็แสดงถึงความเป็นอัจฉริยะของพระองค์ในกิจการทหารอย่างแม่นมั่น ดังที่ระบุในอีกตอนของปรัชญาพระราชทานว่า

“จะไม่ทรงโปรดความหย่อนยาน ความยวบยาบ หรือความไร้ระเบียบวินัย” ดังเช่นเรื่อง ปรัชญาทหารมหาดเล็กฯกล่าวถึงการตั้งเป้าหมาย หรือ objective ในการฝึก ทรงโปรดให้ตั้งมาตรฐาน “เพิ่มขึ้นไปเสมอ เกินกว่า ๑๐๐%

ในด้านปรัชญามาตรฐานหน่วย ทม.รอ. (มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์) กำหนดให้ต้องรักษามาตรฐานระดับสูงไว้เสมอ ประดุจดังสินค้าแบรนด์เนมฉันนั้น

ปรัชญา ร.๑๐ ประการสุดท้ายเรียกว่า ปรัชญารากหญ้าพระเจ้าอยู่หัววชิราลงกรณ์ฯ ทรงกำชับข้าราชบริพารให้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งในรายละเอียดเกี่ยวกับ “ระดับพื้นฐานหรือระดับล่าง ที่ทรงเปรียบเทียบกับคำว่ารากหญ้า”

เพื่อที่เมื่อได้เป็นใหญ่เป็นโตแล้วจะได้เข้าใจผู้ใต้บังคับบัญชา สามารถให้คำแนะนำและให้ความช่วยเหลือ “ร่วมทุกข์ร่วมสุข พร้อมทั้งดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นที่เลื่อมใสศรัทธา” ต่อไป

หลังจากได้อ่านเนื้อหาปรัชญาพระราชทานของรัชกาลที่ ๑๐ เหล่านี้แล้ว บ่องตงว่าสามารถทำความเข้าใจได้โดยง่าย ไม่ต้องขบมาก ไม่ซับซ้อนหลากหลายความหมายจนต้องตั้งเป็นหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมก็ได้
ทรงมีพระราชประสงค์ให้ข้าราชบริพารปฏิบัติการให้ “เป็นไปตามพระราชประเพณี พระราโชบาย และพระราชนิยม” อย่างเคร่งครัดและเกินกว่าที่มุ่งหวังเสมอ 

และหากทรงทอดพระเนตรเห็นข้าราชบริพารผู้ใดประพฤติไม่เหมาะสม ก็จะมิทรงนิ่งเฉยเป็นเด็ดขาด

ณ บัดนี้พระราชปรัชญาดังกล่าวมาได้ถูกประกาศบังคับใช้แต่ในแวดวงทหารผู้พิทักษ์ราชบัลลังก์ และหากคณะทหารที่ยึดอำนาจแล้วทำการปกครองประเทศมาเป็นเวลาเกือบจะสี่ปี ยังคงอำนาจกว้างขวางต่อไปอีก ๕-๒๐ ปีตามยุทธศาสตร์ชาติแล้วไซร้

Going forward ในระยะเวลาอันไม่ไกลนัก พสกนิกรโดยทั่วไปอาจได้สัมผัสผลแห่งปรัชญาพระราชทานอันแข็งแกร่งเหล่านั้นด้วยบ้างก็ได้