สถานะของ คสช. ในวันนี้ หมอชัยวุฒิ
สุวรรณโณ นักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตยบนเฟชบุ๊คคนหนึ่งฟันธงไว้ว่า “ขาลง”
ในแง่ที่เครือข่ายนักพัฒนาองค์กรเอกชนออกแถลงการณ์ไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย
“เนื่องจากกลไกยุทธศาสตร์ชาติเป็นสิ่งที่จะนำมาซึ่งการควบคุมประเทศให้เดินไปตามทางที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ
(คสช.) ต้องการอย่างยาวนาน” และยัง “เป็นไปเพื่อสนองตอบการเติบโตของกลุ่มทุน มิได้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมและหลักประกันสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีของประชาชนโดยรวม”
แต่ถ้าไปดูโพสต์ของธนาพล อิ๋วสกุล บก.
ฟ้าเดียวกัน จะเห็นปฏิกิริยาของเขาต่อข่าวศพนักเรียนเตรียมทหารเครื่องในหายว่า “กองทัพไม่เห็นนายภคพงศ์
ตัญกาญจน์ เป็นคนด้วยซ้ำ
นี่จึงไม่ใช่ความเลวร้ายที่กองทัพทำกับครอบครัวผู้เสียชีวิตเท่านั้น แต่เป็นความเลวร้ายเท่าที่มนุษย์จะคิดได้”
ข่าวครอบครัวของ นตท. ภคพงศ์
ผู้เสียชีวิตในโรงเรียนเตรียมทหารเมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แอบนำศพลูกชายไปทำการชันสูตรอีกครั้งหลังจากรับศพกลับมาจากการชันสูตรครั้งแรกที่สถาบันพยาธิวิทยา
กรมการแพทย์ เพื่อทำการชาปณกิจ
กลับพบว่า “มีการหักของซี่โครงซี่ที่ ๔ ด้านขวา
ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่ทำ CPR
หัวใจ และยังพบรอยช้ำที่มุมขวาด้านหน้า เช่นเดียวกับบริเวณแผ่นหลัง
นอกจากนั้น
ยังพบว่าอวัยวะสำคัญหลายส่วนหายไป ทั้ง สมอง หัวใจ กระเพาะอาหาร และกระเพาะปัสสาวะ”
หากแต่ในการชันสูตรครั้งแรกซึ่งผู้อำนวยการกองการแพทย์
โรงเรียนเตรียมทหาร แจ้งว่า “ขออนุญาตตัดชิ้นเนื้อบางส่วนเพื่อทำสไลด์หาสาเหตุการเสียชีวิตเท่านั้น”
จากนั้นพล.อ.ธารไชยยันต์
ศรีสุวรรณ ผบ.สูงสุด บอกกับครอบครัวของ
นตท.ภคพงศ์ว่าเขาเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน โดยไม่ได้ให้รายละเอียดถึงสาเหตุที่ทำให้ผู้ตายหัวใจวายนั้น
ยังความฉงนแก่บิดา มารดา และพี่สาวของ นตท.ภคพงศ์ อย่างยิ่ง
จนต้องตัดสินใจลอบนำศพออกไปจากพิธีชาปณกิจโดยไม่เปิดเผยแก่ผู้ร่วมงานว่าเป้นเพียงการเผาหลอก
ผลชันสูตรที่ได้ในครั้งหลังทำให้ทุกคนตลึง
เพราะนอกจากร่องรอยบอบช้ำภายใน อวัยวะหลายอย่าง ทั้งตับไตใส้และหัวใจหายไปแล้ว
ในโพลงสมองของศพก็ว่างเปล่า มีกระดาษทิชชู่อุดเอาไว้แทน “และที่ไหปลาร้าหักทั้ง
๒ ข้าง ซึ่งแพทย์ที่ชันสูตรระบุว่า ซี่โครงที่หักไม่น่าจะเกิดจากการปั๊มหัวใจ
เพราะหักต้องหักทั้งแถบ”
ครอบครัวของ นตท.ภคพงศ์
จึงออกมาเรียกร้องให้ผบ.สูงสุด
ผอ.กองการแพทย์โรงพยาบาลเตรียมทหาร และ ผบ.โรงเรียนเตรียมทหาร
ชี้แจงเหตุไม่ชอบมาพากลเหล่านั้น “ว่าอวัยวะลูกชายหายไปเกิดจากสาเหตุอะไร
และชิ้นส่วนอวัยวะที่หายไปก็อยากจะขอคืน
เพื่อนำมาพิสูจน์หาสาเหตุการเสียชีวิตอีกครั้ง”
(http://www.amarintv.com/news-update/news-4525/112071/ และ https://mgronline.com/local/detail/9600000117135)
นายพิเชษฐ และนางสุกัลยา
ตัญกาญจน์ สองนักแข่งรถชื่อดังของประเทศไทย บิดาและมารดาของ นตท. ภคพงศ์ หรือ ‘น้องเมย’ เปิดเผยว่า “ที่ผ่านมาลูกไม่เคยบ่นหรือเล่าว่ามีปัญหากับใคร
เพียงแต่รู้ว่าลูกมักถูกลงโทษและถูกเรียกไปซ่อมเดี่ยวอยู่บ่อยๆ
แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ และก็เคยถูกลงโทษโดยรุ่นพี่ซึ่งเป็นหัวหน้าหมวด
จนทำให้ชีพจรหยุดเต้นไปแล้วครั้งหนึ่ง”
นางสุกัลยาเล่าว่าเมื่อลูกชายหัวใจหยุดเต้นครั้งก่อนนั้น
“ถูกทำโทษอย่างรุนแรงด้วยการให้ปักหัวลงที่พื้นห้องน้ำนายทหาร
จนเกิดอาการช็อกเพราะเลือดตกที่หัวและความดันพุ่งต่ำลง”
ซึ่งไม่มีการชี้แจงรายละเอียดของสาเหตุที่หัวใจหยุดเต้นจากทางโรงเรียนเตรียมทหารเช่นกัน
ความโหดเหี้ยมของการกำกับระเบียบวินัยในวงการทหารไทย
จนทำให้ผู้ถูก ‘ซ่อม’ และ ‘ซ้อม’ ถึงตายนี้
มิใช่เพิ่งมีครั้งเดียว คราวก่อนเมื่อเดือยพฤศจิกายน ๒๕๕๙
มีพลทหารสังกัดศูนย์การทหารม้าถูกครูฝึกกระทำรุนแรงถึงตาย
เป็นข่าวคึกโครมเมื่อมีคลิปการซ้อมปรากฏออกมา
ทว่าคำตอบที่ได้จากกองทัพเพียงว่า
ผู้บังคับบัญชาสั่งให้สอบสวน “ถ้าผลการตรวจสอบมีความชัดเจนแล้ว
กำลังพลที่ปฏิบัติพฤติกรรมไม่เหมาะสมดังกล่าวจะต้องได้รับโทษสถานหนักอย่างแน่นอน”
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกแถลงในตอนนั้น
เหตุการณ์อันน่าสพรึงกลัวเช่นนี้
แม้จะเกิดในแวดวงทหาร
ก็มิใช่เรื่องชวนหัวเหมือนกรณีคำสั่งของกองทัพให้กำลังพลและข้าราชการในสังกัดตัดผมสั้นเกรียนที่เป็นข่าวฮือฮาขณะนี้
กระทั่งมีคลิปเด็กหญิงเล็กๆ ลูกสาวของทหารคนหนึ่ง ร้องห่มร้องไห้เป็นวักเป็นเวร
เสียใจที่คุณพ่อมีผมสั้นเกือบโกร๋น
“#พ่อไม่หล่อเหมือนเดิม!!
หนูจะเอาทรงเก่า ไม่ชอบทรงนี้อะ” (https://www.facebook.com/athiwat.supan/videos/1519211224800124/)
ในสภาวะที่ คสช. จะเป็นดั่ง “เจ้าเข้าครอง
คงจะต้องบังคับขับไส” ต่อไปอีกอย่างน้อยหนึ่งปี หรือยาวกว่านั้น
มันสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวขึ้นในหมู่ประชาชน ไม่รู้ว่าวันใด ชั่วโมงใด
การบังคับขับไสให้อยู่ในระเบียบวินัย ‘ถึงตาย’ ในวงการทหาร จะทะลักล้นออกมาสู่ประชาชนทั่วไปได้
คำถามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้า คสช. มักพูดบ่อยในระยะหลังๆ นี่ว่า “อะไรกัน เกลียดทหารกันนักหรือ”
นั้นคงจะไม่ใช่ทั้งหมด และน่าจะไม่ใช่ฝักฝ่ายการเมืองที่รังเกียจตระกูลชิน พธม.
(แบบยะใส) กปปส. และ ตลก. วิปริต
แต่กับประชากรส่วนอื่นๆ
ทั้งที่มีญาติมิตรได้รับความเดือดร้อนด้วยคำสั่งหัวหน้า คสช. หลายสิบฉบับ
คงต้องบังเกิดอาการกลัว หวาดหวั่นครั่นคร้ามกันอยู่ครามครัน
ความกลัวสะสมนั่นแหละจะก่อตัวเป็นความเกลียด
เมื่อความเกลียดพอกพูนมากเข้า มันจะกลายเป็นพลังหาญสู้ คานงัดและต่อต้าน พลังต่อต้านของผู้คนหมู่มากหมายถึงอะไร
ผู้เผด็จการทั้งหลายย่อมรู้แก่ใจ