ที่เขาว่าไตแลนเดียเนี่ย ‘สังคมสูงอายุ’
ก็เพราะรัฐบาลจากการยึดอำนาจตอกย้ำความจริง ทั้งพวกรัฐมนตรีตัวเอ้ๆ นักร่างกฎหมาย
หัวหน้าสภาตรายาง ไปจนกระทั่งพวกที่อุตริจะวางยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี
เมื่อสองวันก่อนพวกนักปฏิรูปไอเดียปิ๊ง
เสนอยืดอายุราชการออกไปเป็น ๖๓ ปี แถมอ้างว่า “เพื่อปลดล็อคอุปสรรคต่างๆ
ที่ทำให้สังคมมีความเสียเปรียบ ทั้งด้านเด็ก สตรี ผู้พิการและผู้ยากไร้”
ใครที่รู้จักคิดด้วยหลักเหตุผลเชิงประจักษ์
‘empirical’ ย่อมเข้าใจได้ง่ายว่า
ไอ้การยืดเวลาวัยทำงานของคนแก่ออกไปอีกสามปีน่าจะเป็นตัวสร้างอุปสรรค อันก่อให้เกิดการเสียเปรียบแก่เด็ก
สตรีและคนพิการ เสียเองมากกว่าปลดล็อค
แม้ว่าข้อเสนอของ นพ.อำพล จินดาวัฒนะ
กรรมการปฏิรูปด้านสังคมผู้นี้ จะใช้วิธีค่อยๆ เขยิบเป็นขั้นบันไดสองปีครั้ง ให้ถึง
๖๓ ภายในเวลา ๖ ปี ก็มองไม่เห็นข้อดีอื่นใดมากไปกว่ากีดกันเด็ก
หนำซ้ำ คสช. จัดระเบียบสังคม
ห้ามบุคคลอายุต่ำกว่า ๑๘ ปีออกจากบ้านหลังสี่ทุ่ม ที่เริ่มบังคับใช้แล้ววันนี้
ยิ่งเป็นการกดขี่ประชากรอ่อนวัยหนักเข้าไปใหญ่
เป็นการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จอย่างเหลิง
ไม่คิดหน้าคิดหลัง ตีกรอบเสรีภาพเพียงเพื่อจะแก้ปัญหาเด็กแว้น วัยรุ่นมั่วสุม
และนักเรียนตีกัน โดยไม่นึกถึงสิทธิสภาพเยาวชนที่กำลังเจริญวัย
มิน่าเล่าเยาวชนไทยจึงได้อัดอั้น
เพราะถูกกีดกันความคิดสร้างสรร สอนให้กลัวการแข่งขัน นอบน้อม และ สยบอย่างเดียว
จนกลายเป็นเด็กด้อยการพัฒนาทักษะ ยังดีที่พวกเขาฮึดกันขึ้นมาบ้าง อย่างเด็กสวนฯ
ขบวนพาเรดกีฬาจตุรมิตร ยกป้าย ‘ไทยแลนด์แดนกะลา’ และ ‘ชาตะ ๑.๐ มรณะ ๔.๐’
กลายเป็นดราม่าซะอีก
พวกศิษย์เกรียนรุมสวดกันใหญ่ หาว่า “เนรคุณแผ่นดิน...หาเรื่องให้แตกแยก...ขาดคุณธรรม
จริยธรรม และสำนึกรักบ้านเกิด ลืมรากเหง้า ไม่ต่างกับหุ่นยนตร์”
ถ้าเป็นหุ่นยนตร์น่าจะพวกคุณๆ
ชนชั้นกลางในเมืองมากกว่า เสริมด้วยสื่อเสี้ยม พวกนิวส์ๆ นี่ละ เอ็นจอยปาก (กา) จนเหลิง
วางอำนาจบาทใหญ่ทำตัวเป็นเทวดา เที่ยวว่าคนนั้นคนนี้มีเลือด ‘ทรพี’
อย่างเรื่องที่ สปริงส์นิวส์ พาดหัวข่าวว่า
ทราย เจริญปุระ เป็น ‘ลูกทรพี’ แล้วทีนิวส์ก๊วนเดียวกันเอาไปขยายผล จนผู้เสียหายทนไม่ไหวให้ทนายยื่นฟ้องหมิ่นประมาท
กลับเลี่ยงบาลีเสียอีกว่า ที่เขียนคำทรพีนั้นมี ‘ปรัศนีย์’ เครื่องหมายคำถามต่อท้าย ไม่ตั้งใจด่า แค่สงสัย
เอ๊า ถ้างั้นมีใครสักเขียนข้อความ ‘พ่ออัปรีย์’ ด้วยปรัศนีย์ห้อยท้ายล่ะ จะเป็นการกระทำ
‘ไม่ผิด’ โดยไม่ตั้งใจด้วยไหม
เสร็จแล้วให้นักข่าวโทรไปขอโทษขอโพย
อ้างว่ารีบถอดออกแล้ว แต่ว่าเพจอื่นๆ ฉกไปแพร่เสียก่อนบ้าง มีนักข่าวหลายคน ไม่รู้คนไหนเผลอเขียนลงไปไม่รู้ตัวบ้าง
แต่นั่นความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว ถ้าผู้ถูกกระทำไม่โวยวาย
หรือฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย จะมีการขอโทษ แก้ตัวแบบนี้ไหม
เอาละ วิธีการพาดหัวหวือหวา สมัยนี้เรียกทับศัพท์
‘clickbait’ ใช้คำแรงๆ ดึงความสนใจผู้เห็นพาดหัวเข้าไปอ่าน
ประมาณว่าทำเรทติ้งนั่นละ ทว่าก็ต้องเลือกใช้ศัพท์แสงถ้อยคำที่ไม่ละเมิดในทางอาญา
การใช้คำ ‘ลูกทรพี’ แล้วยังมีคำอื่นๆ เช่น ‘เนรคุณ’ ‘อกตัญญู’ ‘โจรใจบาป’ ‘ฆาตกรเลือดเย็น’ ฯลฯ มันเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ ทันทีที่ข้อความนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่สาธารณะ
ซ้ำยุคนี้ระบบสื่อสารผ่านอีเล็คโทรนิค ประสิทธิภาพสูง รวดเร็ว และกว้างขวาง
จะมักงี่มักง่ายไม่ได้
ฉะนั้นข้ออ้างทำนองว่าถึงจะก้าวร้าวก็ไม่เจตนา
นั้นฟังไม่ขึ้น ข้อเท็จจริงที่ไม่ยอมบอกน่าจะเป็นเจตนาร้ายของผู้เป็นบรรณาธิการ
และ/หรือเจ้าของ ปกติคนเหล่านั้นมักจะเป็นคนเขียนพาดหัว
กรณีนี้พอเห็นชื่อคนที่ตกเป็นข่าวแล้วต้องการทับถมทำร้าย
จึงได้เติมพาดหัวไปในทางดูหมิ่น เหยียดหยามออกไปอย่างนั้น