เสร็จแล้วเรื่อง รมว.
แรงงานลาออกทั้งพวงนั่นมีเลศนัย ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลทหารที่ชอบอ้างนักอ้างหนาว่าวิเศษกว่ารัฐบาลพรรคการเมืองนี่
จะดีหรือเลวไม่ต่างกัน
รัฐบาลพรรคการเมืองที่ว่านั้นคือรัฐบาลชุดที่ชื่นชมกันนักหนาว่าใจซื่อ-มือสะอาด
แต่ก็บริหารงานไม่ได้เรื่อง จะทำอะไรมักชักช้าเพราะต้องรอ “ได้รับรายงาน”
จากหน่วยราชการชงขึ้นมาเสียก่อน ไม่เป็นไร เป็น ‘คนดี’ ใช้ได้ พูดอย่างนี้รู้นะว่าใคร
รัฐบาลทหารนี้ไม่ได้เป็นคนดีอย่างนั้น
(ดูกิริยาอาการของตัวหัวหน้าเป็นสักขีพยาน) ส่วนเรื่องเก่งนั่นพอมีตรงที่ชอบ ‘อวดเก่ง’ พูดอ้างได้ทุกอย่างแต่ทำไม่ได้สักอย่าง
เว้นแต่ขู่บังคับกับคนที่เถียง ท้วง ค้าน ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเสียจนร่ำๆ
จะเข้าเนื้อตัวเองแล้วนี่
กรณีคำสั่ง ม.๔๔
เด้งอธิบดีกรมจัดหางานไปเข้ากรุนั่งปั้นเจ๋อเป็นรองปลัดกระทรวงฯ จนเป็นเหตุให้
รมว. ลาออกพร้อมทีมงาน เดิมทีคิดกันว่าเพราะเรื่องบังคับใช้ พรก.ต่างด้าวไม่ได้ผล แล้วกลายเป็นแรงถีบกลับหลัง
ความจริงลึกกว่านั้น
ข่าวว่านายกฯ ลุงตูบมอบหมาย ‘ดร.อ’ คนใกล้ชิดให้ตามเรื่องแรงงานต่างด้าว ดร.อ
แนะให้กระทรวงแรงงานซื้อเครื่องสแกนดวงตาใช้พิสูจน์ดีเอ็นเอแรงงานต่างด้าวที่เข้าออกแดนให้ตรงกับบัตรประจำตัว
ระดับกระทรวงเฉย จึงไปจี้อธิบดีแทน
อธิบดีจัดหางานเห็นว่าเครื่องสแกนดังกล่าวไม่จำเป็น
สิ้นเปลือง และทำให้การตรวจแรงงานต่างด้าววุ่นวายหลายขั้นตอนขึ้นไปอีก
จึงได้เกียร์ว่างมาเป็นเดือน ข้อสำคัญไม่มีคำสั่งลายลักษณ์อักษรแม้กระทั่งจากปลัดกระทรวง
แค่คำพูดปากเปล่าให้เสร็จภายใน ๑ พ.ย.
ข้อสำคัญ รมว. เห็นด้วยกับอธิบดีที่กลัวว่างานนี้ถ้ามีส่วนต่างเงินทอนตนเองจะกลายเป็นแพะ
เพราะวงเงินมันสูง ราคาเครื่องละแสน ต้องใช้จำนวนมากสำหรับจำนวนต่างด้าวหลายล้านคน
ที่กรมเจ้าท่ามีใช้แล้ว ๓๐
เครื่องแต่ไม่ค่อยได้ผลเพราะการอ่านค่าซับซ้อนเกินความจำเป็น
ที่สุดจึงมีการย้ายฟ้าผ่าและ รมว.พร้อมทีมลาออกกระทันหัน
วิจารณ์กันว่าจะส่งผลไปถึงการปรับ ครม. ‘ตุ่นฮ่า’
ที่จะมาถึงในไม่ช้า ชี้ให้เห็นว่านี่เป็นการบริหารแบบมือใหม่หัดขับ
ลองผิดลองถูก ‘สามปีสี่ชุด’ ใช่ไหม
กรณีเหมืองทองอัคราที่รัฐบาล คสช. ใช้อำนาจ
ม.๔๔ ระงับยับยั้งการดำเนินงานมาเป็นปีก็อีกเรื่อง
กำลังจะต้องจ่ายค่าเสียหายเหนาะๆ ๓ หมื่นล้าน งานนี้กระทรวงอุตสาหกรรม (ไม่) รับผิดชอบ
อ้างว่าถูกชาวบ้านร้องเรียนเรื่องสภาพแวดล้อมมีสารปนเปื้อนเป็นพิษเป็นภัย
แต่ทางเหมืองแย้งว่าที่จริงถูกกดดันให้ซื้อที่ดินบริเวณรอบเหมืองราคาสูงลิ่ว
พอไม่ซื้อก็เกิดเหตุชาวบ้านร้องเรียนขึ้น
ตลอดปีที่ผ่านมา คสช. บอกได้พยายามเจรจาแก้ไขปัญหา
จนแล้วจนรอดไม่เห็นได้เรื่อง ทางบริษัทออสเตรเลียเจ้าของกิจการที่ได้สัมปทานมาเมื่อปี
๒๕๓๖ สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย จึงยื่นฟ้องอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ว่ารัฐบาล
คสช. ละเมิดข้อตกลงการค้า TAFTA
(รายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.prachachat.net/economy/news-65072 และ https://www.thairath.co.th/content/1045455)
จึงช่วยไม่ได้ที่เกิดเสียงซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์เสียๆ
หายๆ จริงไหมไม่สำคัญเท่าการทำงานหละหลวมเปิดช่องให้โจมตีได้ มีใครคนหนึ่งเขียนไว้บนไซเบอร์
“ใครถือหุ้นอัคราบ้าง คุณไปค้นดู
อัคราเป็นนอมินีใครไหม ไปค้นดู หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าไอ้ตู่กับอัครารู้กัน
เพื่อกินค่าโง่อันนี้ และค่าโง่อันนี้มันภาษีกู”
นั่นละใครรู้กับใครไม่ใช่ปัญหาเท่าค่าโง่ “มันภาษีกู”
แล้วยังมีเรื่องทำมาหาแดรกของชาวบ้านอีกล่ะ
ชาวใต้บอกราคายางตอนนี้โลละ ๓๙ บาทนะลุง ซ้ำทั่นสุเทือกอุตส่าห์ออกมาทวงบุญคุณกลายๆ
แล้วว่าขอ ๖๐ ได้ไหม
ผู้ว่าการยางฯ เพิ่งแจงกรรมวิธีแก้ปัญหาร่วมกับอีก
๓ ประเทศผู้ผลิต (มาเลย์ อินโดฯ เวียดนาม) จะใช้มาตรการ “จำกัดปริมาณการส่งออก”
เพื่อยับยั้งวิกฤตราคายางตกลงแบบต่อเนื่อง
ก็ปรากฏว่ามีการเคลื่อนไหวรวมตัวของสมาคมผู้ปลูกยาง
ให้ปลดนายธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่า กยท.ออกจากตำแหน่งซะนี่
พวกที่ความจำไม่สั้น (ความแค้นอาจจะยาว)
ชี้ว่า เอ๊ะ สมัยอิปูว์ราคาอยู่ที่โลละ ๘๐ พวกพ้องทั่นสุเทือกออกมาไล่นายกฯ
หาว่าไม่สามารถดันราคาให้ขึ้นไปถึง ๑๒๐ บาทต่อกิโลตามที่ต้องการได้
คราวนี้ไหงแค่ไล่ผู้ว่าการยาง
เอาเถอะ อยู่ประเทศนี้ต้อง ‘ชั่งหัวมัน’ รอทั่นผู้นัมพ์แก้ไขแล้วกัน ดินฟ้าพลั้งเผลอลืมปราณีไม่เป็นไร
ที่ไหนได้เมื่อวาน (๓ พ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ไปจ้อทฤษฎีการตลาด อุปสงค์-อุปทาน ที่ปากพนัง
“วันนี้จังหวัดนครศรีธรรมราช
เกินครึ่งปลูกยางพารา ภาคอีสานปลูกอีก แล้ววันหน้าจะแข่งกันอย่างไร ต้นทุนเขาถูกกว่าไหม
เกิดช่องว่างระหว่างการขายกับต้นทุน...
ต้องมีการปรับเปลี่ยนไปปลูกปาล์มน้ำมันมากขึ้น
ต้องคิดถึงต้นทุนผลิต และในการแปรรูปด้วย” อย่างหนึ่งละนะ
“ต้องลดลงให้ได้
และต้องมีแผนสำรองปลูกผลไม้เพิ่มในสวนยาง หรือไปเลี้ยงแกะ เลี้ยงแพะ
นี้คือสิ่งที่รัฐบาลคิด” อีกอย่าง ทางเลือกเจ๋งๆ
ทั้งนั้น ให้ตายสิ
นี่ปีใหม่เขาจะแจกอีกคนละ ๓ พันบาท
พวกคนจนรายได้ไม่เกินปีละ ๓ หมื่นจำนวน ๓ ล้านคน คอยรับทรัพย์กันได้
กับผู้ที่รายได้ต่อปีไม่เกินแสนได้คนละพันห้า กลุ่มนี้มี ๒ ล้านกว่า รวมแล้วงานนี้
คสช. ควักภาษีกูจ่ายอีก ๑๒,๗๕๙ ล้านบาท ตามทฤษฎีกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
พวกความจำไม่สั้นอีกนั่นแหละ นึกได้
สมัยรัฐบาลคนดีแต่ฝีมือห่วยอีกราย เคยแจกจ่ายรายละสองพัน เป็นวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบมักง่าย
ที่กลายเป็นตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
เพราะเงินไปลงที่ข้าราชการไม่จำเป็นต้องใช้ซื้อของเลยเก็บเข้าพกไม่ได้กระตุ้นอะไร
คราวนี้ผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ใช่เกษตรกร
(ซึ่งแจกไปแล้ว) แค่ ๕.๔ ล้านคนได้ผ่อนหนักเป็นเบากันได้บ้าง ชั่วครั้งชั่วคราว
เช่นเดียวกับกิจการธนาคารของรัฐสามแห่ง (ธกส.
ออมสิน และกรุงไทย) ได้มีธุรกรรมเคลื่อนไหวคึกคักขึ้นมานิด
ท้ายที่สุดแล้วเศรษฐกิจจะกระเตื้องได้ภายในปีหน้า
อยู่ที่บรรยากาศการผลิตเพื่อส่งออก อันส่งผลต่อการจ้างงาน และการ (มีเงิน) จับจ่ายใช้สอยในระดับฐานราก
จะเกิดขึ้นได้ทันตาเห็นหรือไม่
ภาพลักษณ์เวลานี้อยู่ที่
สามปีกว่าผ่านมาทุ่มลงไปก็เยอะ คุยไว้ก็แยะ ไม่ทำให้เศรษฐกิจขยับขึ้นเลยสักนิด
มองจากข้างนอกชัดว่าความเชื่อมั่นในการลงทุนจะไม่กลับมาจนกว่าการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมเปิดและเสรีจะเกิดขึ้น
หากพวกที่ปิดกรุงเทพฯ ปิดสนามบินนานาชาติ จนธุรกิจเสียหายเป็นแสนล้านยังคงลอยนวลเป็นชนเหนือชั้นอยู่ได้ แสดงว่าเมื่อไรที่การเลือกตั้งไม่เป็นไปตามที่พวกนี้ต้องการ เหตุร้ายเดิมๆ ก็จะเกิดอีก แล้วใครจะอยากเอาทุนมาเสี่ยง
หากพวกที่ปิดกรุงเทพฯ ปิดสนามบินนานาชาติ จนธุรกิจเสียหายเป็นแสนล้านยังคงลอยนวลเป็นชนเหนือชั้นอยู่ได้ แสดงว่าเมื่อไรที่การเลือกตั้งไม่เป็นไปตามที่พวกนี้ต้องการ เหตุร้ายเดิมๆ ก็จะเกิดอีก แล้วใครจะอยากเอาทุนมาเสี่ยง