โอ แม่จ้าว ศาลปกครองนี่เขาก็วี่เศษเหมือนกัน
ตัดสินบนรากฐานของพจนานุกรมเหมือนศาลรัฐธรรมนูญบ้าง ต่อนี้ไปคงเป็นมาตรฐานใหม่ ‘new normal’ ของ ตลก. ไทย
๕ ปีให้หลัง ศาลปกครองเพิ่งตัดสินคดีผู้สร้าง ผู้กำกับฯ
ภาพยนตร์ ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ ยื่นฟ้องคณะกรรมการภาพยนตร์ฯ
ไว้ตั้งแต่สิงหาคม ๒๕๕๕ ว่าหนังเรื่องนี้ “คนไทยสมควรเรียนรู้ร่วมกันเพื่อร่วมมือกันมิให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีก”
นั่นคือข้อเท็จจริงเหตุการณ์เข่นฆ่านักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อ
๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ที่ มานิต ศรีวรภูมิ ผู้อำนวยการสร้าง และ น.ส.สมานรัชฏ์
กาญจนวณิชย์ ผู้กำกับการแสดง นำเข้าไปเทียบเคียงไว้ในเนื้อหาของภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากบทละครของวิลเลียม เชคสเปียร์ เรื่อง ‘โศกนาฏกรรมแม็คเบ็ธ’ (The tragedy
of Macbeth) มาเป็นภาพยนตร์ไทยให้ชื่อ ‘Shakespeare Must Die’
ศาลฯ เห็นพ้องกับคณะกรรมการภาพยนตร์ฯ ว่า “มีเนื้อหาสาระที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ
เช่น เนื้อหาที่แสดงถึงคนดูละครได้เข้าทำร้ายคณะนักแสดง
มีการจับผู้กำกับละครแขวนคอ และทุบตีด้วยสิ่งของ เป็นต้น”
จากนั้นศาลฯ ได้ยกเอาพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานมาเป็นเหตุสนับสนุนคำตัดสิน
เช่นอธิบายความหมายของคำ ‘สามัคคี’ ‘แตก’ และ ‘ชาติ’ แล้วเอาวลี “การแตกความสามัคคีของคนในชาติ”
มาสรุปเหมารวมว่า
ภาพยนตร์เรื่องนี้ “มีเนื้อหาหลายฉากหลายตอนสื่อให้เห็นว่า
เป็นสภาพสังคมไทย และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ทำให้
คนดูและกรรมการพิจารณาภาพยนตร์เห็นว่า “ฉากหนึ่งคล้ายกับเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย...
ย่อมสร้างความไม่พอใจให้ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต
หรือผู้ร่วมในเหตุการณ์ดังกล่าว
ทำให้เกิดความเคียดแค้นชิงชังจนอาจเกิดการแตกความสามัคคีของคนในชาติได้...
ที่ผู้ฟ้องคดีต่อสู้ว่า
คำสั่งห้ามฉายภาพยนตร์เป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ศาลปกครองเห็นว่า
รัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐
ซึ่งใช้อยู่ในขณะเกิดคดีนี้ ระบุว่า
สิทธิเสรีภาพย่อมถูกจำกัดได้ด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย
บางฉากของภาพยนตร์เรื่องนี้ มีเนื้อหาขัดต่อศีลธรรมอันดี
อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐ หรือเกียรติภูมิของประเทศไทย
ข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีจึงฟังไม่ขึ้น”
นี่เท่ากับศาลปกครองมองว่า การนำเอาวิดีทัศน์ ๒ นาฑีเหตุการณ์ที่พวกคลั่งชาติศาสน์กษัตริย์
พร้อมด้วยกำลังตำรวจชายแดนกรูกันเข้าไปทำร้ายนักศึกษาภายในบริเวณรั้วมหาวิทยาลัย จนเสียชีวิตหลายสิบคน
เปรียบเทียบกับภาพการ “จับแขวนคอทุบตีด้วยเก้าอี้เหล็กพับ” นั้นขัดกับศีลธรรมอันดี
ของใครกัน
การนำเอาความจริง “ที่มิอาจลืมเลือน หรือปกปิดไว้ได้” ในเหตุการณ์รุนแรงของสังคมไทย
ที่ฝ่ายอำนาจรัฐให้ท้ายฝูงชนคลั่งไคล้ระห่ำรุกเข้าเข่นฆ่าฝ่ายที่ทัดทานอำนาจเผด็จการ
มาเปิดเผย
ในจิตสำนึกของตุลาการยุคทหารครองเมืองนี้ ถือว่า “อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐ
หรือเกียรติภูมิของประเทศไทย” ไปเสียฉิบ