วันอาทิตย์, ธันวาคม 04, 2559

“ทำอย่างไร ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย ณ วันนี้ จึงจะดีขึ้น” โพลบอกให้ “ขยัน ประหยัด และยึดหลักพอเพียง”





ขณะพื้นที่ภาคใต้กำลัง ‘อ่วม’ กันใหญ่ ตั้งแต่เมืองคอนขึ้นมายันพัทลุงถึงสุราษฎร์และเข้าหาดใหญ่ เจอฝนตกหนัก น้ำป่าบาก ท่วมเมืองเฉียบพลัน

(‘น้ำป่า-ฝนถล่มใต้เซ่นแล้ว 5 ศพ อุตุฯเตือนฝนตกหนักมากวันที่ 4-5 ธ.ค.’ https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_127553

‘อ่วมหนัก! น้ำทะลักท่วมพัทลุง 11 อำเภอ ย่านธุรกิจ-บ้านเรือนเดือดร้อน’ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1480819393





‘ยังอ่วม! อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ฯ น้ำท่วมพื้นที่เศรษฐกิจต่อเนื่อง’ http://www.springnews.co.th/?p=6312&lang=th)

แต่ดุสิตโพล พ่อยอดชาย ดันบอกบ้านเมืองสงบสุข (คนละ ‘บ้านเมือง’ กับที่กำลังจะปิดนะฮัฟ) คนไทยสามัคคี (คงลืมถามบุดด้าอิสระน่ะนะ) และสภาพเศรษฐกิจไม่เปลี่ยน (แย่อย่างเดิม)

(http://www.posttoday.com/politic/468565)






สุดยอดเห็นจะเป็นตอบคำถามที่ว่า “ทำอย่างไร ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย ณ วันนี้ จึงจะดีขึ้น”

อ่านเจอแทบสำลักน้ำเก๊กฮวย โพลบอกให้ “ขยัน ประหยัด และยึดหลักพอเพียง”

มันหมายความว่าที่ไม่มีจะกิน ก็ไม่ต้องกินงั้นสิ





ไอ้เรื่องโพลเพ้อเจ้อนี่พูดกันมามากแล้ว แต่เขาไม่แคร์อะไร เช่นเดียวกับสื่อสลิ่ม ที่กำลังขาลงสวนทางน้ำกันคึกคัก

วันนี้จะมีใครสำเหนียกข้อเขียน ‘บอกลา’ (เผด็จการ) เรื่องนักข่าวตกงาน ของ ‘ฉลามเขียว’ ที่ นสพ.บ้านเมือง กันบ้างไหมหนอ

“ขอบคุณ กปปส. เพราะผมมั่นใจว่าภาวะเศรษฐกิจไทยมันพังยับเยิน ถึงขั้นที่กิจการสื่อสิ่งพิมพ์อยู่ไม่ได้...เป็นผลพวงมาจากการ ‘ปิดบ้านปิดเมือง’ จนเกิดการรัฐประหาร...

เพราะ Shutdown Bangkok ผมก่อบาป ตัวผมผู้จะสิ้นสภาพนักหนังสือพิมพ์ในวันที่ ๓๑ ธ.ค. ๕๙ ก้ขอฝากแก่นักข่าวทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และยังได้ทำงานต่อไป หรือคนที่กำลังอยากเป็นนักข่าว เอาไว้สั้นๆ ว่า

เป็นนักข่าว -อย่าฝักใฝ่เผด็จการ”





งานนี้ Atukkit Sawangsuk คนสื่อรู้วงในเผยว่า “เอาจริงแล้ว ฉลามเขียวไม่ได้เป็น กปปส.หรอกนะครับ เขาหลอกด่าสื่อที่เป็น กปปส.ต่างหาก หลอกด่า ๒ ชั้นเลยด้วย ที่บอกว่าไปม็อบ กปปส.แต่ไม่ได้มีอุดมการณ์อะไร แค่ตอแหลไปกินของฟรี

สำหรับวงการสื่อตอนนี้ที่บอกว่าบาปสนอง ก็ยังไม่ถูกต้องนัก เพราะเดือดร้อนทั่วหน้าไม่ว่าสื่อเชียร์ กปปส.หรือสื่อเชียร์ประชาธิปไตย เนชั่น อมรินทร์ อาจจะอ่วม แต่หลายรายก็ยังลอยหน้าลอยตา ขณะที่สื่ออีกฝ่ายหรือสื่อทั่วไปซวยหมด”






ประเด็นสื่อไทยกำลังเป็นน้ำเต้าน้อยถอยลง ย้อนไปดู timelines ใครหด-ลด-หาย ได้จากที่ ‘Momentum’ เขาทำไว้ (http://themomentum.co/successful-data-lab-thai-press-2016)

แถมด้วยภาพ ๑๐ อันดับ มหาเศรษฐีไทยกับการถือครองสื่อ ที่ ‘The MATTER’ จัดให้ที่นี่ (https://www.facebook.com/thematterco/photos/a.1735876059961122.1073741831.1721313428084052/1808865935995467/?type=3&theater)






แล้วไง คสช. ก็ยังเอาใจ กปปส. เอาใจพวกม็อบเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ และเวทีแจ้งวัฒนะ อยู่ต่อไป ดังเช่นกรณีพระธัมมชโย วัดธรรมกาย ที่เป็นข่าวอึกทึกว่าลิ่วล้อ คสช. ในดีเอสไอและ สตช. พยายามจะจับกุม แต่เจอกับท่าทีขัดขวางของบรรดาลูกศิษย์

จึงหาทางออกชนิดที่เรียกได้ว่า ‘งี่เง่า’ สไตล์เดียวกับที่ทหารทำกับพวกต่อต้านรัฐประหารเรียกร้องประชาธิปไตย จับตัวไม่ได้ก็หันไปกลั่นแกล้งบีบคั้นคนใกล้ชิด คนรอบข้างของเขาแทน

เมื่อวานนี้ (๓ ธ.ค.) “ตำรวจ ปทส. แจ้งจับพระทัตตชีโว รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ให้ที่พักพิง พระธัมมชโย หลังครบกำหนดที่ให้นำตัวมาส่งมอบ”

โดยใช้ข้อหา “ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗...ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ ปี ถึง ๑๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒,๐๐๐ บาท ถึง ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

และมาตรา ๑๘๙ ฐานผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด...ระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔,๐๐๐ บาท

โดยพนักงานสอบสวนจะส่งหมายเรียก ๓ ครั้ง หากพระทัตตชีโวยังไม่มาพบพนักงานสอบสวนก็จะออกหมายจับทันที”

(https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_127524)

ท่าทีรุกเร้าของ คสช. ต่อพระธัมมชโยระลอกใหม่นี้ ทั้งที่อาจผ่อนผันกระทำการโดยละม่อมได้ กลับออกมาแสดงท่ากร้าวกันเพราะแรงกดดันจากพระคนดังทางการเมืองนามว่า สุวิทย์ ทองประเสริฐ ไม่มากก็น้อย

พระสุวิทย์ผู้นี้ล่าสุดแสดงความกร่างเขียนเฟชบุ๊คอ้าง “ครั้งหนึ่งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เคยมาปรารภกับฉันว่า ตอนที่ผมเป็นผบ.ทบ. หลวงปู่เรียกใช้ผมบ่อยๆ แต่พอผมได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม ทำไมหลวงปู่ไม่เคยเรียกใช้ผมเลย”

(http://www.matichon.co.th/news/382662)

เขาเขียนพาดพิงเช่นนั้น ด้วยการออกตัวไว้ก่อนว่า “หามิได้จะอวดอ้างตนเองว่าใกล้ชิดสนิทสนมกับคนระดับบิ๊กของ คสช.”

แต่ปุถุชนที่พอมีสติปัญญาครุ่นคิดได้เห็นวิธีการแล้ว ย่อมเข้าใจถ่องแท้ในเจตนาของเขา

ที่อ้างชื่อ พล.อ.ประวิตร เพื่อคัดค้านแนวคิดของสภาปฏิรูปในการร่างกฎหมายลูกให้ภิกษุสงฆ์เข้าไปมีบทบาททางการเมือง

หากว่า กปปส. ในอดีต เป็นต้นเหตุแห่งวิกฤติสื่ออย่างที่เห็นกันขณะนี้ ดังที่ฉลามเขียวว่าไว้ วิธีการบีบคั้นทางการเมืองที่อดีตหัวหน้า กปปส. คนหนึ่งในคราบจีวรขณะนี้ทำอยู่

อาจส่งผลให้เกิดมิคสัญญีต่อแวดวงพระพุทธศาสนาในอนาคตก็ได้