วันจันทร์, ธันวาคม 19, 2559

ความตอแหลของนักการเมืองลากตั้ง สิ่งที่พวกท่านทำคือ การเดินหน้ากดหัวประชาชน





เพราะพวกเต่าล้านปี ๑๖๘ คนที่เรียกตัวเองว่า สนช. พยายามเอาใจนาย คสช. ผ่านกฎหมายปิดปากประชาชนนั่นแหละ ถึงได้เกิดการแฮ็คเว็บไซ้ท์ราชการไทยขนานใหญ่

ขอบใจ Anonymous The Empire และพลเมืองต่อต้านซิงเกิ้ลเกตเวย์ ล่าสุดบ่ายนี้ (๑๙ ธ.ค.) มีอีกสองแฮ็ค ที่กระทรวงกลาโหม (http://www.mod.go.th "IP= 210.246.94.90") และกระทรวงดิจิทัล (ไอซีที http://www.mict.go.th/www.mict.go.th/index.html "IP= 103.55.140.193")

แล้วยังนัดหมายเอาอีก ในวันที่ ๒๐ ธ.ค. นี้ ไม่รู้กระทรวงไหนจะโดนบ้าง

สำหรับที่กลาโหมเขามีหมายเหตุ: “ถึงโฆษกกระทรวงกลาโหม ปากบอกว่าขอร้อง วิงวอน แต่ลับหลังสิ่งที่พวกท่านทำคือ การเดินหน้ากดหัวประชาชน แสดงออกมาเป็นรูปธรรมว่าพวกท่านกำลังจะหยุดจริงๆ แล้วถึงมาวิงวอน…”

(http://www.springnews.co.th/th/2016/12/9914/)





นั่นเนื่องมาจาก พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหมพูดไว้เมื่อวาน (๑๘ ธ.ค.) “ว่ามีบางกลุ่มพยายามเจาะข้อมูลเว็บไซต์กระทรวงกลาโหม แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะว่าเรามีระบบป้องกัน เราเตรียมพร้อมตลอด”

แต่มาวันนี้ทั่นพูดใหม่ “ยอมรับว่าเว็บไซต์กระทรวงกลาโหมมีกลุ่มบุคคลพยายามเจาะข้อมูล แต่ไม่ส่งผลกระทบอะไร และไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรมากนัก...

มาโจมตีกันเองเพียงเพราะความไม่เข้าใจร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหา ดังนั้นขอร้องไปยังกลุ่มบุคคลดังกล่าวให้หยุดการกระทำ”

(http://www.thairath.co.th/content/815481)





อันที่จริงทั่นโฆษกต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไร ไม่รู้สีรู้สากับโลกก้าวหน้าของศตวรรษที่ ๒๑ เมื่อวานซืน ก่อนเขาจะเริ่มแฮ็คก็บอกแล้วว่า ทำเพื่อแสดงให้เห็นว่าทางการเองค่อนข้างล้าหลังในทางดิจิทัล โดนแฮ็คได้ง่ายๆ แล้วยังจะออกกฎหมายมาล้วงข้อมูลส่วนตัวประชาชน อย่างนี้จะมีความน่าเชื่อถืออะไรเหลืออยู่อีก

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ออกมาแก้ตัวและแก้ต่าง อ้างการผ่านร่างฯ รวด ๓ วาระภายในสองสามวันนี้ เป็นการแก้ไขกฎหมายเดิมเมื่อปี ๒๕๕๐ ให้ดีกว่าเก่า

“ยืนยันว่าการปิดหรือระงับใช้ข้อมูลระบบคอมพิวเตอร์ในหลายประเทศอ่อนแอกว่าไทย ไม่มีการไปศาล แต่ของไทยมีการพัฒนา”

“ส่วนที่มีข้อเรียกร้องให้ชะลอการประกาศใช้กฎหมายออกไปก่อนนั้น นายพรเพชร กล่าวว่า ไม่สามารถทำได้ เพราะกฎหมายได้ผ่านการพิจารณาของ สนช.ไปแล้ว”

(http://www.matichon.co.th/news/399180)

นี่แน่ะ ความตอแหลของนักการเมืองลากตั้ง ความจริงกฎหมายนี้ทางพลเมืองเน็ตได้พยายามทักท้วงมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม เขาส่งข้อเสนอแนะเพื่อการปรับแก้ให้สอดคล้องกับ ‘หลักสิทธิมนุษยชนสากล’ แต่ดูเหมือนวลีนั้นเป็นของใหม่เกินไปสำหรับไดโนเสาร์ สนช. จะเข้าใจ เลยทำไม่รู้ไม่ชี้ซะงั้น

แต่แล้วกลับ ‘ลักหลับ’ ผ่านการอนุมัติวาระแรก แล้วก็มารวบรัดผ่านสองวาระรวด ๒-๓ เมื่อวันที่ ๑๖ ทั้งที่พลเมืองเน็ตและแอมเนสตี้ อินเตอร์แน้ทชั่นแนล ยื่นคำร้องขอให้ชะลอการอนุมัติไว้ก่อน เพื่อจะได้มีการทบทวนให้ถ่องแท้

ทว่าอนิจจา พวกลิ่วล้อ คสช. ก็ยังดึงดันผ่านร่าง พรบ.คอมพ์ จนได้ เช่นนี้จึงวินิจฉัยได้สนองทาง อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีแบบอื่นก็คือ งั่งเสียจนไม่รู้ว่าโลกยุคดิจิทัลจะต้องเป็นอย่างไร หรืองี่เง่า ทั้งที่รู้ก็สนองต้องการของนายซึ่งมุ่งหมายกดหัวประชาชน





แล้วอย่างนี้พรเพชรยังจะมีหน้าพูดว่า “อยากให้มาพูดคุยกันด้วยเหตุผลว่าไม่เห็นด้วยตรงไหน อะไรที่ขัดกับสิทธิเสรีภาพ”

นอกจากในเอกสารร้องเรียนพร้อมรายชื่อประชาชนกว่า ๓ แสนราย มีรายละเอียดความไม่เหมาะสมและละเมิดต่อหลักการสิทธิพลเมืองในการสื่อสารยุคใหม่แล้ว ใครๆ ก็สามารถหาอ่านเหตุผลและรายละเอียดเกี่ยวกับข้อเสียของ พรบ.คอมพ์ ได้ด้วยการค้นคว้าทางอินเตอร์เน็ต

นี่เป็นอีกประการหนึ่งซึ่งชี้ให้เห็นว่า กระทั่งตัวประธาน สนช. เอง ยังไม่รู้จัก ‘ค้นคว้า’ หาข้อเท็จจริงอันใดที่มีอยู่เกลื่อนกลาดบนอินเตอร์เน็ต

ฉะนี้จะให้เชื่อมั่นหรือแม้แต่ยอมรับการตัดสินใจของ สนช. ได้อย่างไร ที่ผ่านกฎหมายออกมาเพื่อกดขี่ประชาชน

พรบ.แก้ไขกฎหมายคอมพิวเตอร์ผ่านไปแล้ว ยังไม่หมดภาระจัดตั้ง เจาะวางยุทธศาสตร์ครองเมือง ครอบงำประชาชนของคณะทหาร คสช. อื่นๆ อีก ที่ สนช. จะรับลูกจาก สปท. สององค์กรลากตั้งลิ่วล้อ คสช. ออกกฎหมายอีกหลายฉบับ

โดยเฉพาะฉบับต่อไปคือ พรบ. ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่อำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่เข้าไปขุดคุ้ยข้อมูลส่วนตัวของประชาชนได้โดยไม่ต้องพึ่งอำนาจศาล