วันพุธ, ธันวาคม 07, 2559
รัชกาลที่ ๑๐ จะยังคงเป็นยุคแห่งการไล่ล่าด้วยมาตรา ๑๑๒ ของกฎหมายอาญา ต่อไปอีกแน่นอน และอาจจะหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ
มันเริ่มมาจากการโหมกระหน่ำ ‘ความจงรักภักดี’ ต่อรัชกาลที่ ๑๐ ด้วยวิธี ‘ล่าแม่มด’ กับสำนักข่าวบีบีซีไทย โดยกิจการโฆษณาชวนเชื่อที่ใช้ชื่อว่า ‘ทีนิวส์’
“BBCไทย ให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด คนไทยต้องรู้ทัน” สำนักสนธิญานซัดสุดเหวี่ยง
ข้อความพาดหัวโจมตีบีบีซีไทยเมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม โดยใช้ “ตรรกะวิบัติชนิด guilt by association เยอะมาก” (นี่ได้มาจากข้อสังเกตุของ Nanchanok Wongsamuth ผู้สื่อข่าวบางกอกโพสต์)
จากนั้นก็โหมต่อด้วยข้อความเป็นเท็จ “ด่วน!!! ตำรวจบุก ออฟฟิศ บีบีซีไทย ที่อาคารมณียา แต่ปิดบริษัทหนีไปก่อน” จนทำให้ Sa-nguan Khumrungroj นักข่าวอิสระที่มีประวัติการงานภาคสนามยืนยาวเป็นตำนาน ต้องคอมเม้นต์
“กูกำลังนั่งขรรมกับข่าวนี้ น้องเขาไปเข้าห้องน้ำ 5555 เพื่อน BBC ทุกคนยังนั่งทำงานอยู่ครบในออฟฟิส
ฝากให้ด่าแม่คนเขียนข่าว ‘โครตมั่ว’
ที่จริงคนโทรเนี่ย โทรไปอีกแล้วเจอฝรั่งตอบ แต่แม่งพูดคุยปะกิดไม่ได้ แล้วซี้ซั้วรายงาน
สมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ฯ ที่เต็มไปด้วยการรับสินบนและโกงหุ้น เคยร่วมเลียสดเป่านกหวีดปิดประเทศ พวกแม่งรีบแชร์ข่าวทีนิวส์เลย ออกนอกหน้ามาก สัดดด”
ทำให้เห็นได้ว่าปฏิบัติการณ์ทีนิวส์นี้นำร่องให้แก่พระราชโองการแต่งคณะองคมนตรีชุดใหม่ ๑๑ นาย (รวมทั้งประธานคนเดิม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแต่งตั้งไปแล้ว)
อันทำให้เป็นที่วิเคราะห์วิจารณ์กันในแวดวงฝ่ายประชาธิปไตยในขณะนี้ว่า รัชกาลที่ ๑๐ จะยังคงเป็นยุคแห่งการไล่ล่าด้วยมาตรา ๑๑๒ ของกฎหมายอาญา ต่อไปอีกแน่นอน และอาจจะหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ลองมาดูกันสิว่าทำไมเขาถึงวิเคราะห์กันออกมาอย่างนั้น
ชุดใหม่กับชุดเก่ามีจำนวนต่างกัน ๕ นาย (ไม่มีนาง) ที่ออกไปมี ๘ คน ล้วนแล้วแต่แบกอายุกันมามากแล้ว ส่วนที่เข้ามาใหม่ ๓ คน ล้วนนายตะหาน คสช. ที่แม้ว่าจะไม่ใช่สายเสือตะวันออก แต่ก็ระดับสิงห์ กระทิง radด้วยกันทั้งสิ้น
พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช และพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา
นัยว่าเป็นวงศ์เทวัญที่พยัคฆาราชินีแบ่งปันกันให้สมประโยชน์เมื่อยึดอำนาจ (จากรัฐบาลเลือกตั้ง) คนหนึ่งได้เป็น รมว.ศึกษาธิการ อีกคนได้ ผบ.ทบ. (น้องของนายแซงไม่ขึ้น)
คนที่สามท่าเงียบๆ แต่ล้ำลึกชนิด ‘บิ๊กบัง’ ไม่งั่ง แถมยังเป็นเด็กป๋าจะ จะ ซะอีก (จากโพสต์ของ Thanapol Eawsakul ที่บอก) “แม้จะพลาดหวังในการชิงเก้าอี้กับ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ในตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๕๗”
“แต่พล.อ. ไพบูลย์ คุ้มฉายา ไปไกลถึงองคมนตรีในรัชกาลที่ ๑๐ ส่วนพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ยังเป็นแค่ รมช. กลาโหม” (ถึงกระนั้นก็กำลังมีข่าวว่าจะไปควบรัฐมนตรียุติธรรมอีกตำแหน่ง)
พวกเขามายังไงจะไปยังไง ขออาศัยโพสต์ของ Somsak Jeamteerasakul มาสาธยาย
เนื่องเนาว์มาแต่สายทหารแตงโมรุ่น ‘น้องพี่แดง’ เปิดฉากทฤษฎีที่ว่า ตั้งดาว์พงษ์-ธีรชัย-ไพบูลย์ เป็นองคมนตรีเพื่อเอาเข้ากรุ ไปดองไว้
“พวกนี้เห็นว่าเป็นเรื่องการเอาเข้ากรุ ขึ้นหิ้ง ดอง คือทำให้หมดตำแหน่งรัฐมนตรี (ปลดจาก รมต. เนียนๆ ตามคำคุณ ‘สู้’ -Chanin Klayklung) และยุ่งการเมืองอะไรไม่ได้อีก...
บางคนถึงกับยกรัฐธรรมนูญมาแสดงว่า ตาม รธน. องคมนตรียุ่งการเมืองไม่ได้ ราวกับว่าข้อกำหนดนั้นใน รธน. เคยห้ามได้ยังงั้น หรือเพื่อเบรคการปราบธรรมกาย (ของไพบูลย์) หรือบางทีก็พูดทำนอง ‘เอาศัตรูเข้ามาไว้ใกล้ๆ เพื่อควบคุม’”
สศจ. ไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีเหล่านั้น โดยอธิบายแนวคิดของเขาเอง
“ดาว์พงษ์นั้นเป็นนายทหารเสนาธิการ เขาคือคนที่เป็น ‘สถาปนิก’ ของการล้อมปราบเสื้อแดงปี ๒๕๕๓ (การวางแผนเอาทหารมหึมา ๕ หมื่นคนมาล้อมเสื้อแดง เป็นผลงานสำคัญของเขา
อันที่จริง กรณีเก็บ เสธ.แดง ซึ่งส่งสัญญาณเริ่มการล้อมปราบ และสะท้อนวิธีคิดแบบทหาร –‘เก็บ’ คนทีคิดว่าเป็นหัวหน้าคุมกำลังของ ‘ฝ่ายตรงข้าม’ ก่อนจะลงมือปราบใหญ่ - เป็นไปได้อย่างยิ่งที่ดาว์พงษ์จะมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจและวางแผน)
ธีรชัยกับไพบูลย์เป็นทหารกุมกำลัง ธีรชัยเพิ่งพ้นตำแหน่ง ผบ.ทบ. ส่วนไพบูลย์เคยเกือบจะได้เป็น และกรณีไพบูลย์นั้นหลังๆ เขามีความสนิทและมี ‘กิตติพงษ์’ (กิตยารักษ์) เป็นที่ปรึกษา
กิตติพงษ์คือคนที่มีความใกล้ชิด ‘คุณภา’ (ผมเคยพูดไปแล้วว่าเขาน่าจะมีบทบาทในการเป็นที่ปรึกษากษัตริย์ใหม่ หรือเป็น ‘ทีมพระบรม’ คนหนึ่งตั้งแต่ก่อนการสวรรคตของในหลวงภูมิพล) เป็นไปได้ว่า ถ้ากษัตริย์ใหม่ คิดจะใช้ใครเป็นหูตา-เชื่อมต่อ-ประสานกับกองทัพ กิตติพงษ์จะเสนอไพบูลย์คนหนึ่ง…
ผมว่า ตอนนี้เราได้คำตอบแล้ว (ยกเว้นแต่อาจจะมีการตั้งทหารคนอื่นขึ้นมาอีก เพราะยังเหลือโควต้าองคมนตรีให้ตั้งได้อีก) เห็นได้ชัดว่าในหลวงใหม่จะให้ ดาว์พงษ์-ธีรชัย-ไพบูลย์ นี่แหละ เป็นตัวเชื่อมต่อ-ประสานกับกองทัพ”
อีกทฤษฎีมาจากฝ่ายประชาธิปไตยสายฮ้าร์ดคอร์อีกราย ดร.เพียงดิน รักไทย ให้สัมภาษณ์รายการ จอม ว้อยซ์ ทำนองตั้งข้อสงสัยว่า “เป็นไปได้ไหม” พระราชโองการแต่งตั้งองคมนตรีทหารสี่นาย (ยกเว้นประธานและรองประธานพฤตินัย)
“เป็นการจัดที่ทางให้ไปอยู่ในที่ปลอดภัย”
ดร.เพียงดินตั้งข้อสังเกตุว่าเนื่องจากนายทหารทั้งสี่ (รวมถึงคนเก่าหนึ่งคนคือ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข)กระทำความผิด ก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติไว้มาก...
จะเกี่ยวข้องทางตรงทางอ้อม...แม้ไม่ได้เหนี่ยวไกเอง...ล้วนเข้าข่ายคำจำกัดความของศาลอาญาระหว่างประเทศ (‘Crime Against Humanity’) “คนเหล่านี้ไม่เป็นมิตรกับประชาชน ไม่เป็นประชาธิปไตยเลย”
ในเมื่อคณะทหารมุ่งหมายจะครองอำนาจต่อไป การเอาสามสิงห์เข้าไปไว้ในองคมนตรีจะทำให้ปลอดภัยจากการถูกฟ้องร้องในเรื่องสิทธิมนุษยชน อีกทั้งยัง “เป็นการให้ทหารเข้ากุมอำนาจทั้งหมดอย่างเบ็ดเสร็จ” ด้วย
(https://www.youtube.com/watch?v=eAUw5Twa4xY&feature=youtu.be)
ล่าสุด ในความเห็นของนักวิชาการอีกท่าน ที่ให้สัมภาษณ์ต่อรายการจอม ว้อยซ์ เช่นกัน คือ ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ มองว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ เสด็จขึ้นทรงราชย์บนรากฐานของเครือข่ายสถาบันกษัตริย์ (Networks Monarchy) ของรัชกาลเดิมล้วนๆ
“รัชกาลที่ ๑๐ เหมือนกับแค่หิ้วกระเป่าเข้ามาอยู่บ้านเลย โดยไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว ผมก็เชื่อว่ายังคงจะต้อง relies หรือว่า พึ่ง เครือข่ายสถาบันพระมหากษัตริย์เดิมอันนี้...
สภาองคมนตรียังคงเป็นตัวขับเคลื่อนต่อไป” ดร.ปวิน ย้ำ “ฝ่ายประชาธิปไตยจะถูกไล่ล่ามากขึ้น...
(https://www.youtube.com/watch?v=tF-SG48CerQ&feature=youtu.be)
เลิกมโน หรือเลิกฝันไปเลยว่าจะเห็นการยกเลิก ม.๑๑๒ หรือการปล่อยตัวนักโทษทางการเมือง หรือการปรับตัวของสถาบันกษัตริย์
และยังเป็นสภาพสะท้อนให้เห็นว่า เส้นทางการพัฒนาประชาธิปไตยในสังคมไทยจะยังไม่เกิดขึ้นในรัชสมัยนี้”