AFP PHOTO / CHRISTOPHE ARCHAMBAULT (แฟ้มภาพ)
“หนังม้วนเดิม” ฉากเก่า? จับ “ธัมมชโย” ด้วยปาก ถ้า “ง่าย” จบไปนานแล้ว!
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 ธันวาคม 2559
เรื่องราวร้อนๆ ตลอดเกือบทั้งปีนี้ หากจะพูดว่าตกไปอยู่ที่วัดพระธรรมกาย ก็ดูไม่น่าจะผิดแปลกนัก
ภายหลังมีความพยายามจากเจ้าหน้าที่หลายส่วนในการนำตัว “พระเทพญาณมหามุนี พระธัมมชโย” เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มาดำเนินคดีให้ได้
หลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีบุกรุกพื้นที่ป่าก่อสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรม เวิลด์พีซวัลเล่ย์ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา, กรณีบุกรุกพื้นที่ป่าที่ อ.ภูเรือ จ.เลย และในส่วนของคดีที่อัยการสูงสุด มีความเห็นสั่งฟ้องเป็นจำเลยร่วมฐานร่วมฟอกเงิน, รับของโจร ในคดีทุจริตสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น
ความพยายามครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ย้อนไปดูปฏิบัติการเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2559 หลายคนคงจำภาพวันดังกล่าวได้ ที่มีชุดปฏิบัติการ ประกอบกำลังกันทั้งฝ่ายตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ดีเอสไอ พยายามเข้าไปตรวจค้นในวัดพระธรรมกาย ตาม “แผน กบิล59” หลังเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการขอหมายศาลไว้เพื่อบุกเข้าตรวจค้นจับกุม
การเริ่มดำเนินการเกิดขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ของวันที่ 16 มิถุนายน จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ฝ่า “กำแพงมนุษย์” อันประกอบด้วยศิษย์วัดจำนวนมากที่มานั่งสมาธิคล้ายกับโล่มนุษย์ ที่นุ่งขาวห่มขาว ปักหลักนั่งเต็มพื้นที่ทางเข้า
แม้จะมีสายฝนโปรยลงมาก็ไม่ได้ทำให้ “กำแพงมนุษย์” นี้ถูกทลายหรือเสียหายไปได้
(แฟ้มภาพ)
มหากาพย์ที่ยาวนานเรื่องนี้กำลังดำเนินเข้าสู่ตอนใหม่แต่ใช้ตัวละครชุดเดิมแทบทั้งหมด
เรื่องนี้มีผู้ที่เกี่ยวข้องมากมายหลายกระทรวง ตั้งแต่กระทรวงยุติธรรม ที่มีกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นแกนหลัก สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปจนถึง สำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนา
และยังมีทีท่าของรองนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีที่มีต่อกรณีนี้ที่แทบจะเป็นเรื่องรายวัน
โฟกัสไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึงการดำเนินการจับกุมตัวพระธัมมชโย ว่า ตอนนี้เรื่องนี้กลายเป็นเหมือนเจ้าหน้าที่และประชาชนเกือบทั้งประเทศกลายเป็นจำเลยไปด้วย วุ่นวายกันไปหมด แต่นายกรัฐมนตรีเชื่อว่าเจ้าหน้าที่พร้อมจะเข้าไปภายในวัด แต่ห่วงว่าถ้าเข้าไปในวัดได้แล้วเกิดความกระทบกระทั่งกันแล้ว ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ? และคุ้มค่าหรือไม่?
“พี่น้องชาวพุทธบาดเจ็บสูญเสียใครจะรับผิดชอบ แล้วถามว่าอยากให้เกิดไหม ถ้าอยากให้เกิดก็ไปวันนี้ ผมอยากขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ทำงาน อย่าไปกดดันเขา ถ้าเข้าไปแล้วตีกันตั้งแต่เข้าประตู ยอมรับกันได้หรือไม่ คนอยู่ในวัดตั้งเท่าไหร่ ต้องดูเวลาเหมาะสมว่าเข้าไปตอนไหน”
คำสัมภาษณ์ครั้งล่าสุดของนายกรัฐมนตรีนี้ก็ค่อนข้างส่งสัญญาณชัดเจนว่า ยังคงห่วงเรื่องบาดเจ็บ สูญเสีย และกระทบกระทั่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนหากมีการบุกเข้าในวัดทันทีทันใด
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการแก้ไขปัญหานี้ว่า “ต้องไปไล่คนที่มีความผิดให้ออกมาข้างนอกก็จบ ไม่มีใครใช้คนหมู่มากมาสู้ ที่ผ่านมาก็มีบทเรียนอยู่แล้วในการใช้คนเยอะๆ มาต่อสู้ พลเมืองอย่าไปขวางเจ้าหน้าที่ก็จบ ไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่ไม่กล้าหรือกลัว ไม่เกี่ยวกัน แต่ไม่ยากให้ทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง และคนเพียงไม่กี่คน กรุณาออกมามอบตัวและมาต่อสู้ตามคดีก็จบ”
นายกฯ ยังคงมองว่าวิธีการเดียวที่จะไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ สูญเสีย กระทบกระทั่งอย่างที่มีการคาดการณ์กันไว้ คือ การให้พระธัมมชโยออกมามอบตัว ทุกอย่างก็จะจบ ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนจะง่าย แต่อย่างที่ทราบกันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและดีเอสไอต่างเฝ้ารอการมอบตัว และขีดเส้นตาย จนขยายกรอบเวลาให้มามอบตัวจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ก็ยังไร้เงาของพระธัมมชโย
มีเพียงเสียงจากโฆษก ลูกศิษย์วัด และพระใกล้ชิดที่เป็นผู้ออกมาเคลื่อนไหว
(แฟ้มภาพ)
จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีใครยืนยันได้ว่าพระธัมมชโย จะยังคงอยู่ในวัดตามที่ลูกศิษย์กล่าวอ้างหรือไม่
แต่ย้อนไปครั้งล่าสุดที่ใครหลายๆ ได้เห็นพระธัมมชโยปรากฏผ่านคลิปวิดีโอถ่ายทอดสด เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย นำสื่อมวลชนให้ดูภาพสดจากจอ ณ สถานที่แห่งหนึ่งภายในวัด
พร้อมเผยภาพอาการอาพาธบริเวณขา โดยมีแพทย์และคนใกล้ชิดยืนอยู่ในห้องนั้นอย่างใกล้ชิด
ที่มาของการเผยแพร่ภาพดังกล่าวเนื่องจากต้องการใช้เป็นเหตุผลที่ทำให้พระธัมมชโยไม่สามารถเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาได้
จากนั้นมาก็มีความพยายามประสานและรับปากว่าจะมีการรับทราบข้อกล่าวหาที่ สภ.คลองหลวง โดยเจ้าหน้าที่มีการเตรียมกำลังเต็มที่ในการดูแลความสงบเรียบร้อย
แต่ครั้งนั้นก็มีบรรดาศิษย์และพระเครือข่ายวัดธรรมกายเดินทางไปรอบริเวณโดยรอบอยู่ไม่น้อย ก่อนที่ทางวัดจะมีการแจ้งยกเลิกการเข้าไปที่สถานีตำรวจเนื่องจากอาการอาพาธที่หนัก
และหลังจากนั้นมาก็แทบไม่มีใครได้เห็นภาพการปรากฏตัวของพระธัมมชโยอีกเลย
ทําให้มีกระแสข่าวการไม่ได้อยู่ในวัดและเดินทางหนีออกนอกประเทศไปแล้วก็ตามมาเป็นระยะๆ
แต่ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ได้จับตาตามด่านตรวจคนเข้าเมืองและจับตาการเคลื่อนไหวในวัดมาอย่างต่อเนื่องก็ยังไม่เห็นว่าจะมีทีท่าความเคลื่อนไหว
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่า 80 เปอร์เซ็นต์พระธัมมชโยยังอยู่ภายในวัด อีก 20 คิดว่าไม่
แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีแผนการเตรียมรองรับไว้หมดแล้ว โดยจะให้เวลาพระธัมมชโย ถึงเที่ยงคืนของวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 เท่านั้น หากยังไม่มามอบตัว พนักงานสอบสวนจะพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย และเตรียมดำเนินคดีกับรักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในข้อหาให้ที่พักพิงกับผู้ต้องหาตามหมายจับ หลังจากมีการยืนยันจากลูกศิษย์ว่าพระธัมมชโย รักษาอาการอาพาธอยู่ภายในวัด
ซึ่งการเตรียมขยายผลดำเนินคดีกับผู้ให้การช่วยเหลือพระธัมมชโยเรื่องที่พักพิงโดยเฉพาะรักษาการเจ้าอาวาส เพิ่มเติม คือหนึ่งในวิธีการที่ตำรวจจะนำมาใช้คู่ขนานไปกับแผนการบุกจับ ซึ่งทางฝั่งตำรวจก็ยังยืนว่ามีการเตรียมไว้ โดยเป็นไปตามขั้นตอนตามกฎหมาย
ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็ยืนยันสอดคล้องกันว่าการดำเนินการได้มีการประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ตลอด ได้เตรียมแผนปฏิบัติการไว้แล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียด และกรณีที่วัดพระธรรมกายมีการระดมมวลชนเข้าไปภายในวัดอย่างต่อเนื่อง ดีเอสไอจะมีการปรับแผนอะไรหรือไม่ พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ครั้งนี้ก็ได้มีการปรับแผนปฏิบัติการให้เหมาะสม
แต่ถึงอย่างนั้น หนึ่งในตัวแทนของฝั่งวัดพระธรรมกาย คือ พระมหานพพร ปุญฺญชโย ป.ธ.9 ในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ให้สัมภาษณ์ไม่ยืนยันว่าหลวงพ่อธัมมชโย ยังอยู่ในวัดหรือไม่ เนื่องจากยังไม่เคยพบปะหรือกราบนมัสการมาเป็นเวลานานหลายเดือนแล้ว
แต่ทางวัดได้ให้ความร่วมมือส่งเอกสารหลักฐาน ตั้งทีมกฎหมายและประสานชี้แจงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีแก่เจ้าหน้าที่มาโดยตลอด
สัญญาณสำคัญจากปฏิบัติการเตรียมเข้าค้นครั้งก่อนของทางฝั่งวัดพระธรรมกาย นั่นคือ คำแถลงการณ์ของกลุ่มศิษยานุศิษย์ที่ว่า นอกจากพระเทพญาณมหามุนี หรือหลวงพ่อธัมมชโยจะเจ็บป่วยมีอาการอาพาธรุนแรงมากแล้ว คณะศิษย์เห็นพ้องต้องกันว่าหลวงพ่อควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยการมอบตัวก็ต่อเมื่อบ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ คือ “เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์แล้วเท่านั้น” เพราะการที่บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยย่อมทำให้ขาดหลักประกันสิทธิเสรีภาพในกระบวนการยุติธรรม ดังเช่น การคุกคามและบ่อนทำลายวงการพระพุทธศาสนาของภิกษุนอกรีตกับพวกบางกลุ่มการชะลอการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช”
แถลงการณ์นี้เองจึงทำให้เห็นว่ากรณีทั้งหมดนี้ โยงไปถึงทั้งประเด็นการเมือง ศาสนา และกระบวนการยุติธรรมผูกโยงกัน
ทำให้ทางกลุ่มผู้สนับสนุนวัด ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นมีอายุความถึง 15 ปี การที่จะรอเวลาให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติในระบอบประชาธิปไตย จึงไม่ได้เป็นการล่าช้าหรือเกิดความเสียหายต่อรูปคดีแต่ประการใด
จากนี้ต้องจับตาดูว่า ไม้ตายที่ทั้งสองฝ่ายจะงัดออกมาหลังจากใช้เวลาไปทำการบ้านเตรียมความพร้อมกับปฏิบัติการครั้งใหม่จะเป็นอย่างไร
จะเปลี่ยนแปลงแตกต่างจากเดิมขนาดไหน หรือความเป็นห่วงที่ไม่ต้องการเห็นการกระทบกระทั่ง และบรรยากาศที่ยังไม่เหมาะ จะทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังม้วนเดิม ที่ยาวขึ้นและยังไม่มี “ตอนจบ” ที่ได้ผลสรุป และทำให้เจ้าหน้าที่ต้องกลับสำนักมือเปล่าอีกหรือไม่
ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด!