จะร้องกันอย่างไร กกต.ไม่สน วันก่อนเลขาฯ
ยันใช้สูตรคำนวณที่นั่ง ส.ส.พาร์ตี้ลิสต์แบบเดียวเท่านั้น ที่เคยเสนอ
(ศาลรัฐธรรมนูญ) เอาไว้ ๓ แบบ แค่ชี้ให้เห็นความแตกต่าง วานนี้ (๓๐ เมษา) ประชุมกันเป็นที่สุดแล้วเอาอย่าง
‘ที่มันมีงูออกมา’
เป็นที่แน่นอน กกต.จะประกาศผลเลือกตั้ง
ส.ส.เขต วันที่ ๗ พฤษภาคม และ ส.ส.บัญชีรายชื่อในวันที่ ๘ ดังนั้นจะมีการสรุปเรื่องพรรคไหนใครโดนตัดสิทธิ
ใครโดนแขวนภายในอาทิตย์นี้
ส่วนเรื่องการคำนวณที่นั่ง
ส.ส.บัญชีรายชื่อก็จะใช้วิธีเฉลี่ยแจก ส.ส.ให้พรรคปลาซิวปลาสร้อยที่ได้คะแนนไม่ถึงเกณฑ์
๗ หมื่น ๑ พัน พรรคละ ๑ คน รวม ๒๗ พรรค นี่คงจะทำให้ค่ายประชารัฐที่หนุนประยุทธ์
จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ได้จำนวน ส.ส.เขตเพิ่มเข้าไปอีกอย่างน้อยๆ สามสี่คน
ทางด้านกลุ่มที่ลงสัตยาบันกันไว้ว่าไม่เอาการสืบทอดอำนาจ
คสช. ก็เริ่มจำนวนคะแนนเสียงร่อยหรอลงไปแล้ว ว่าที่ ส.ส.อนาคตใหม่โดนศาลสั่งไปแล้วหนึ่งที่สกลนคร
โทษฐานมีกรรมสิทธิ์ในบริษัทที่แจ้งวัตถุประสงค์จะดำเนินกิจการสื่อ
พรรคประชาชาติของนายวันมูฮัมหมัด นอร์ มะทา
กับพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เพิ่งถูก กกต.ตัดสิทธิของผู้สมัครไป ๖ คน
ในข้อหาว่าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองหลายแห่งในขณะเดียวกัน
ผลก็คือคะแนนที่ผู้สมัครเหล่านี้ได้รับจากการเลือกตั้ง จะไม่นำไปคำนวณเฉลี่ยให้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์
มิใยที่รองโฆษกพรรคประชาชาติจะโต้ว่าผู้สมัคร
๕ คน (ในภาคอีสาน) ของพรรคได้มีการ “สอบทานและลบรายชื่อของบุคคลที่ถูก
กกต.ระบุว่าเป็นสมาชิกซ้ำซ้อนกับพรรคการเมืองอื่นออกจากระบบ และได้แจ้งให้
กกต.ทราบเรียบร้อยแล้ว”
การที่ กกต.มาตัดสินในภายหลังนี้
ทำให้เกิดความรันทด “ขาดความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของ
กกต.แบบไม่มีที่ติเพราะนับวัน
กกต.มีแต่จะเพิ่มความระแวงสงสัยในการปฏิบัติงานให้กับประชาชน และมั่นใจว่าอีกไม่นานจะกลายสภาพเป็นเสาผุๆที่ปักอยู่ในโคลนตม...”
(https://www.matichon.co.th/politics/news_1474406, https://workpointnews.com/2019/05/01/_pkWPIQ และ https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_2473618)
พอวานนี้ (เมย์เดย์) ศรีสุวรรณ จรรยา ‘จอมฟ้อง’ เลือกตั้ง ที่ถูกธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ระบุว่ายื่นฟ้องไม่มีมูลหลายคดี ไปยื่นคำร้องใหม่อีกคดีต่อ
กกต.“เพื่อตรวจสอบการเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน”
คราวนี้มีทั้งผู้สมัครและว่าที่ ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐและพรรคเพื่อไทย
แถมด้วยขอให้ตรวจสอบกรณีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐเคยปราศรัยหาเสียงที่ลพบุรี
“สัญญาว่าจะเพิ่มเงินบัตรคนจน
เข้าข่ายเสนอให้ สัญญาว่าจะให้” อันเป็นความผิดมาตรา
๗๓(๑) และหรือ (๒) ประกอบมาตรา ๑๕๘ แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง
ก็น่าจะแสดงให้เห็นว่าไม่ได้จิกแค่ฝ่ายประชาธิปไตย ครั้นจะฟ้องพลังประชารัฐสักที
ยังอดไม่ได้ติดปลายนวม ‘เพื่อไทย’
ไว้หน่อย
เลยไม่พ้นคนยังตั้งข้อสังเกตุ “ต้องเปลี่ยนบทไปเล่นให้ทั่วๆ
แต่เอ...ทำไมไม่มีพรรคกัญชาแฮะ โดยเฉพาะตัว หน.พรรคถือหุ้นหลายบริษัทมาก
หลงหูหลงตานักร้องไปได้ยังไง” จากทวี้ตของ @meVnus
ทางด้านธนาธรที่ออกอาการหัวร้อนเมื่อวันก่อนว่าโดนขย่มจนจะถึงขีดสุดของความอดทนแล้วนะ
วานนี้ออกมาทวี้ตรัวเนื้อหาเรื่องที่เคยเคลมว่ามีข้อมูลพรรคอื่นๆ ถือหุ้นสื่อเพียบ
เขาระบุทั้งหุ้นของนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับ ๑
ของพรรคพลังประชารัฐ
แล้วยังหุ้นของ สาธิต ปิตุเตชะ ว่าที่
ส.ส.เขต ๑ ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ และของนายพิบูลย์ รัชกิจประการ ว่าที่ ส.ส.เขต ๑
จังหวัดสตูล พรรคภูมิใจไทย เพื่อยืนยันข้อต่อสู้ที่ว่าถ้าจะเอาผิด อนค.
ก็ต้องให้ครบทุกพรรคนะ ไม่งั้น กกต.นั่นแหละเจอดี
ไม่เท่านั้น พรรคเพื่อไทยเริ่ม ‘ร้อน’ เช่นกัน พรรคหลังๆ นี่ไม่ยอมนิ่งแบบ ‘สุขุมสยบมาร’ อีกแล้ว ส.ส.และผู้บริหารพรรคออกโรงยื่นฟ้อง
กกต.ต่อความผิดของพรรคพลังประชารัฐบ้าง ล่าสุด ‘ผู้กองม้าร์ค’
ผู้สมัครเขต ๗ บางซื่อ ไปโผล่ที่ทำการ กกต.
ร.ต.อ. วัฒนรักษ์ สุรนาทยุทธ์
ยื่นร้องเรียนให้พิจารณาคุณสมบัติของ นางสาวธณิกานต์ พรพงษาโรจน์
กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ “อาจจะถือหุ้นของบริษัทสื่อ” เพราะพบหลักฐานจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าว่า
“นางสาวธณิกานต์ ถือหุ้นบริษัทหนึ่งจำนวน ๙,๐๐๐ หุ้น จากทั้งหมด ๑๐,๐๐๐ หุ้น
ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์และสื่อด้วย”
โดยเธอถือหุ้นนี้มาตั้งแต่ปี ๒๕๔๘ แล้วเพิ่งไป ถ่ายเทหุ้นออกไปเมื่อเช้าวันที่ ๓๐
เมษานี่เอง
ถึงอย่างนั้น น.ส.ธณิกานต์ก็ยังเป็นกรรมการ
(คนเดียว) ของบริษัทนั้นอยู่ ตาม “จากหลักฐานในแบบฟอร์ม บอจ. ๗” ซึ่งแสดงว่าเธอ “มีอำนาจเต็มสามารถลงนามในบัญชีต่างๆ
ได้” ครบถ้วนกระบวนการเป็นเจ้าของแล้ว
นอกจากนั้น
น.ส.ธณิกานต์ยังเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ความผิดเช่นนี้ย่อมส่งผลให้ต้องยุบพรรคพลังประชารัฐด้วย
เขาบอกว่าลักษณะเช่นนั้นคล้ายกับที่ กกต.กล่าวหาพรรคอนาคตใหม่ไม่มีผิด
มุ่งมาตรปรารถนาให้ กกต.แค่ตัดสินสองคดีนี้ด้วยมาตรฐานเดียวกัน ก็ดีถมไปแล้ว
‘Long live the Queen, the queen can do no
wrong.’