วันอังคาร, มิถุนายน 05, 2561

ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ กับ 'น้ำตา' สุเทพ “ไม่ได้มาทำอะไรร่วมกันแล้ว" แต่กับสมาชิกอนาคตใหม่ ‘ข่มขู่คุกคาม’ ถึงบ้าน


ความไม่ซื่อ ไม่เป็นกลาง ถือหางพรรคการเมืองที่สนับสนุนตน เอารัดเอาเปรียบและคุกคามพรรคตรงข้าม (พวกไม่เอารัฐประหาร) ปรากฏชัดขึ้นทุกวัน เมื่อกำหนดเวลา โร้ดแม็พ ตามคำสัญญาใกล้เข้ามา

กับพรรคตั้งใหม่ของกลุ่มสนับสนุนคณะรัฐประหาร ที่เคยเป็นนั่งร้านให้ สาม ป. ยึดอำนาจมาจนเกินสี่ปีนี่แล้ว “ก็ดี มาร่วมมือกันหลายส่วน” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ป. ใหญ่ของ คสช. ตอบนักข่าวที่เซ้าซี้ ซักไวร้ถี่ยิบเรื่องสุเทพ เทือกสุบรรณ หลั่งน้ำตา ตระบัดสัตย์เพื่อชาติ ประกาศร่วมงานการเมืองกับพรรค รปช.

แม้พยายามเลี่ยงตอบ ไม่รู้ (ใจ) ไม่เห็น (น้ำตา) ไม่ทราบ (หนุนประยุทธ์) ประวิตรก็ยังยอมรับว่า “ตอนหลังก็ไม่ได้มาทำอะไรร่วมกันแล้ว คสช.ก็ไปทำงานของคสช.เอง” เมื่อนักข่าวเอาคำตอบมาถามว่า

“ต้องซับน้ำตาให้นายสุเทพหรือไม่ เพราะเคยเป็นกองหนุนของรัฐบาลมาตั้งแต่สมัยเป็น กปปส. ลงเรือลำเดียวกันมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๗”


แต่กับพรรคตั้งใหม่เหมือนกัน สายประชาธิปไตยที่ประกาศไม่เอาโร้ดแม็พ คสช. ไม่รับรัฐธรรมนูญที่ คสช. สร้าง และไม่ฟังคำสั่ง คสช. อีกต่อไป กลับเจอกับการ ข่มขู่คุกคามส่งเจ้าหน้าที่ไปก่อกวนสมาชิกพรรค อนาคตใหม่ถึงบ้าน

“ไม่กี่วันหลังการประชุมจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่เมื่อ ๒๗ พ.ค. สมาชิกก่อตั้งของเราในหลายจังหวัดถูกเจ้าหน้าที่รัฐตามถึงบ้าน ข่มขู่คุกคาม บางรายถูกเจ้าหน้าที่บอกว่าการไปประชุมเป็นการทำผิดกฎหมาย

เราเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐยุติการคุกคามเสรีภาพพลเมือง และปฏิบัติกับทุกพรรคอย่างเท่าเทียมกัน” พรรณิการ์ วานิช ว่าที่โฆษกของพรรคอนาคตใหม่ ใช้ทวิตเตอร์สื่อสารการร้องเรียน

รายละเอียดจากแถลงการณ์ของพรรคอนาคตใหม่เมื่อคืนวันที ๔ มิถุนายน แจ้งด้วยว่าในวันงานเปิดตัวพรรคนั้น “นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาดูแลความปลอดภัยตามปกติ

ยังมีเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบจำนวนมาก ที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ปะปนกับผู้ชมงาน บันทึกภาพบรรยากาศอย่างละเอียด รวมถึงตามถ่ายภาพทะเบียนรถที่จอดอยู่รอบ ๆ ยิมเนเซียมที่จัดการประชุม”

หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐบาล ไม่เยือนถึงบ้านของสมาชิกก่อตั้งหลายจังหวัด ส่วนมากในภาคเหนือและอีสาน “พูดในลักษณะเชิงข่มขู่กดดันว่า การเข้าร่วมประชุมพรรคเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย”

แม้นว่าพรรคอนาคตใหม่ได้ทำหนังสือขอกับ คสช. และได้รับอนุญาตให้จัดประชุมพรรคได้ในวันดังกล่าวแล้ว น.ส.พรรณิการ์อ้างว่า “นอกจากจะเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพในการเดินทางของประชาชน ยังละเมิดสิทธิในการเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง” ด้วย


จึงกล่าวได้เต็มปากว่าการกระทำของ คสช. ต่อพรรคการเมืองที่แสดงตนต่อต้านการยึดครองอำนาจของตน หรือไม่แสดงตนสนับสนุนตน จะพบกับการบังคับใช้กฎหมายของ คสช. ที่รวมถึง คำสั่ง และบางตัวบทที่ตีความมาใช้กำหลาบและกลั่นแกล้งกลุ่มคนที่เรียกร้องการเลือกตั้ง

มีการปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นเยี่ยงอาชญากร ทั้งที่ในสังคมอารยะ อย่างร้ายที่สุดพวกเขาก็เป็นเพียง ผู้ต้องหาทางความคิดมิควรต้องถูกลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ดังเช่นที่ รังสิมันต์ โรม หนึ่งในแกนนำ คนอยากเลือกตั้งโพสต์ข้อความทางทวิตเตอร์ ให้เห็นสภาพที่พวกเขาถูกจับยัดห้องขังสองวันก่อนจะได้โอกาสประกันตัว

Rangsiman Rome @RangsimanRome ดูครับว่าในห้องขังชนะสงครามเป็นยังไง แล้วดูห้องส้วมว่าแย่อย่างกับอะไรดี ผู้ต้องขังต้องได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ นี่หรือคือสภาพความเป็นอยู่ของคนที่ถูกถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์”
 
ไม่เพียงการคุกคามทางกายภาพต่อพวกไม่เห็นด้วยกระจายไปทั่วแล้ว การเอารัดเอาเปรียบอย่างเป็นระบบต่อว่าที่คู่แข่งทางการเมืองในอนาคตอันไม่ไกล ซึ่งบริกรกฎหมายของ คสช. จัดวางและสภาลิ่วล้อจัดตั้งไว้ให้ ไม่มีใครเลี่ยงได้

ยังมีการใช้คำสั่งล่วงล้ำเข้าไปแก้ไขกฎหมายที่ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา อันเป็นการก้าวล่วงรัฐธรรมนูญอย่างอุกอาจ ดังกรณีพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ว่า คสช.ใช้อำนาจมาตรา ๔๔ ออกคำสั่ง ๕๒/๒๕๖๐ แก้ไขกฎหมายพรรคการเมืองมาตรา ๑๔๐ และ ๑๔๑
 
อันเป็นผลให้การยืนยันสมาชิกพรรคเก่า ตามที่คำสั่ง ๕๓/๖๐ ต้องการนั้น ทำให้จำนวนสมาชิกลดลงไปกว่า ๙๗ เปอร์เซ็นต์ โดย พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เปิดเผยว่า

พรรคการเมืองเดิม ๕๔ พรรค มีสมาชิกแจ้งยืนยันรวมกัน เหลือเพียง ๑๓๗,๔๗๙ คน ทั้งที่แต่เดิมตามฐานข้อมูลก่อนคระทหารยึดอำนาจมีสมาชิกพรรคการเมืองอยู่มากกว่า ๔ ล้าน ๗ แสน ๔ หมื่น ๕ พันคน


อย่างไรก็ดี กรณีนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา และจะประกาศผลการตัดสินในวันนี้ ที่ ๕ มิถุนายน ซึ่งพรรคการเมืองต่างทำใจกันไว้แล้ว ถ้าผลออกมาเป็นลูกผีมากกว่าลูกคน