วันจันทร์, มิถุนายน 25, 2561

ประยุทธ์อิงแอบ ร.๑๐ รับสมอ้าง สมเด็จฯ ร.๙ ขอเลือก สว.เอง ๒๐๐ คน


ประยุทธ์พูดในรายการศาสตร์พระราชา อิงแอบรัชกาลที่ ๑๐ นี่ทำให้ระคายเคืองเบื้องยุคลบาทนะ เพราะพูดความจริงไม่มาก และแทรกความเท็จเข้าไปเยอะ จะว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็เนอะ เก่งออกอย่างนั้น

ที่อ้าง “รัชกาลที่ ๑๐ รับสั่งกับผมเสมอ ก็คือให้รัฐบาลดูแลประชาชน พระองค์อยากให้บ้านเมืองเรามีความสงบเรียบร้อย มีระเบียบวินัย...อะไรทำนองนี้” (จาก Wassana Nanuam)

ก็เป็นธรรมดารัฐบาลไหนๆ ก็อ้างได้ ยิ่งรัฐบาลก่อนๆ อ้างรัชกาลที่ ๙ ยิ่งง่าย ไม่พลาด มาคราวนี้ถึงทีประยุทธ์อ้างสมเด็จพระราชินีในรัชกาลที่ ๙ เข้าให้ “ช่วงก่อนหน้านี้ผมได้เคยอยู่ถวายความปลอดภัยอยู่ ท่านรับสั่งเสมอคนไทยน่ารักไม่เหมือนคนอื่นเขา เพราะฉะนั้นเราก็ต้องดูแลประชาชนของเรา”

ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นอยู่แล้ว แต่ประยุทธ์กลับรับสมอ้างพระองค์ท่านว่า “วันนี้ถึงเวลาที่เราทำถวายท่านกันหรือยัง ทำไมเราต้องให้ท่านดูแลเราตลอดไปหรือ”

กับเธรีซ่า เมย์ ไม่อยากพูด ชอบแต่ยิ้มไม่เป็นไร นี่พูดไทยไฉนใช้ตรรกะมั่วซั่วนักล่ะ จะให้ถวายพระองค์ท่านด้วยการเชื่อฟังประยุทธ์และ คสช. น่ะหรือ จะเอาอะไรก็ได้ต้องให้ทุกอย่าง ห้ามเถียง ต้องศิโรราบและปลาบปลื้ม ใครไม่พอใจประท้วงเป็นโดนจับปักชนักคดีความกล่าวหา

ที่จริงน่าจะให้พระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๑๐ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ออกมาเลยว่า พสกนิกรทั้งหลายต้องเชื่อฟังประยุทธ์นะ “...อะไรทำนองนี้” มิดีกว่าแอบอ้างสมเด็จฯ ละหรือ

นั่นเป็นส่วนหนึ่งของการออกรายการที่โรงแรม เวสทินปารีส์วองโดม ท่ามกลางป้าๆ หน้าม้า และกลุ่มนักศึกษาที่ถูกสถานทูตเกณฑ์ให้ไปยกป้าย “ขวัญใจคนไทย สู้ๆ” หรือ “อยู่ต่อเลยได้ไหม” อะไรเนี้ย

แต่ที่เป็นความจงใจของประยุทธ์ในการอ้างสถาบัน (อย่างมั่วๆ) น่าจะเป็นที่บอกว่า “วันนี้ก็ขอเวลาช่วงแรกก่อน ๕ ปีแรก จะมีการคัดสรร ส.ว. ๒๐๐ คน และอีก ๕๐ คนไปคัดสรรมาจากประชาชน ซึ่ง ๒๐๐ คนนั้นผมขอเลือกเองก็แล้วกัน”

ก่อนจะมาถึงจุดที่ฟันธงเรื่องขอตั้ง สว. เอง ประยุทธ์พยายามใช้วิชารัฐศาสตร์การยึดอำนาจ หลักสูตร จปร. มาสาธยาย ตรรกะถึงได้ผิดเพี้ยนไปลิบไง เริ่มจากอ้างว่าที่ไปฟังเธรีซ่า เมย์ เล็คเชอร์น่ะปะเช้ง 'นโยบายการเมืองของเค้าตรงกับเราพอดี'

“วันนี้เรากำลังปฏิรูปการเมืองเหมือนกัน เช่นวันนี้เราจำเป็นต้องมีการแต่งตั้ง ส.ว. ซึ่งเคยแต่งตั้งมาแล้วในอดีต ๒๕๐ คน แล้วมาเลือกตั้ง กลายเป็นสองสภาที่มีที่มาคล้ายๆ กัน ก็เลยเกิดปัญหาคล้อยตามกันในเรื่องไม่เป็นเรื่อง”


พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ตรงความจริงกับที่อังกฤษเขากำลังปฏิรูปสภาขุนนางกันอยู่ ถ้าประยุทธ์เป็นติ่งตามอ่านข้อเขียนของ Pipob Udomittipong เสียบ้างจะได้ลืมหูลืมตา

นี่คงไม่รู้สินะ ประชาชนอังกฤษเกือบสองแสนคนเข้าชื่อลงนามใน petition ของรัฐสภา+รัฐบาล (https://petition.parliament.uk/petitions/209433%E2%80%AC) ให้ยกเลิก “House of Lords” หรือ สภาขุนนาง และมีการอภิปรายในสภาไปเรียบร้อยแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (18 มิ.ย.)

เพราะเขาเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร อำนาจที่แท้จริงในการออกกฎหมาอยู่กับ “House of Commons” สภาราษฎร สภาขุนนางอาจขอดูร่างกฎหมายได้ ขอเสนอแก้ไขได้ แต่ทั้งหมดอยู่ที่ว่าสภาราษฎรจะเห็นชอบหรือไม่ ไม่มีแม้แต่อำนาจในการยับยั้งกฎหมาย

อำนาจที่เคยมีในฐานะเป็นสภาที่ปรึกษาของกษัตริย์ถูกลิดลอนไปจนเกือบหมด ตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อนโน่น (Parliamentary Act 1911 เป็นต้นมา https://www.parliament.uk/about/how/laws/parliamentacts/)

สภาขุนนางเป็นแค่ ซากเดนศักดินา จากยุคกลางที่เขารักษาไว้เป็นไม้ประดับเท่านั้นเอง ใครบอกนะว่า #น้ำท่วมไม่กลัวกลัวผู้นำโง่

หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องไปดูที่ผู้รู้ นักวิชาการกฎหมายมหาชน อย่าง ดร.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ ที่ให้ความกระจ่าง (แต่ประยุทธ์ไม่ฟัง จะเอาแต่มุดถ้ำหลวงดำน้ำ) ที่ว่า สภาขุนนางมีอำนาจหน้าที่น้อยกว่าสภาสามัญ (House of Commons)
 
อาจารย์พรสันต์บอกว่าจะสภาไหน ตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญจะต้องมี ห่วงโซ่แห่งความชอบธรรมกำกับ นั่นคือ “หากที่มามีจุดเชื่อมโยงจากประชาชนมากเท่าไหร่ อำนาจก็มีได้มากขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกัน หากที่มามีจุดเชื่อมโยงจากประชาชนน้อย อำนาจก็ต้องลดน้อยถอยลงตามไปด้วย”


ด้วยเกณฑ์วัดของ ‘Principle of the Chain of Legitimacy’ นี้เอง ดร.พรสันต์ชี้ว่าสภาขุนนางที่มาจากการแต่งตั้งจึงไม่มีอำนาจพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับการเงิน และไม่สามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ แต่วุฒิสภาของ คสช. ดันมีอำนาจให้ความเห็นชอบแต่งตั้งนายกฯ ซะงั้น

ข้อสำคัญ ดร.พรสันต์เน้นว่าในระบบรัฐสภาของอังกฤษโดยพฤตินัย เป็นที่ยอมรับกันว่าประดุจดังมีสภาเดียว หรือ ‘De Facto Unicameralism’ ซึ่งถึงแม้สภาขุนนางยังมีอยู่ แต่ก็เป็นเพียง สภาไม้ประดับคนอังกฤษเขาถึงได้เรียกร้องให้ยุบเสียเถอะ

ประยุทธ์ดูท่าจะชอบ ไม้ประดับเป็นคนรักสวยรักงาม ไปอังกฤษต้องสวมเสื้อกั๊ก ผูกผ้าพันคอหลุยส์วิตอง ใส่แว่นดำเรแบน มาฝรั่งเศสใส่เสื้อแจ็คเก็ตหนัง และยังสวมแว่นเรแบน ทั้งสองแห่งคงแดดจ้าระคายเคืองดวงตาหัวหน้ารัฐประหารไทย

แสดงว่าอากาศคงร้อนฉ่าพอดูสำหรับมาตรฐานผิวสัมผัสของคนทั่วไป แต่ I-Tube 4.0 from Thailandia แกดันทุรังอ้างว่า “ก็ผมหนาวของผมผมเนี่ย”