วันอาทิตย์, มิถุนายน 17, 2561

การเปลี่ยนไปครั้งสำคัญของประเทศไทย ในความแตกต่างจากสมัย ร.๙


เป็นการเปลี่ยนไปครั้งสำคัญของประเทศไทย ที่อยู่ในสายตาชาวโลก จากข่าวเจแปนไทมส์ไปถึงบีบีซีเวิร์ลด์ รับรู้กันทั้งในทางพฤตินัยและนิตินัย ว่าพระมหากษัตริย์ทรงทรัพย์ศฤงคารส่วนพระองค์เป็นมูลค่ามหาศาล อย่างน้อยๆ ๓๐ พันล้านดอลลาร์ หรือ ไม่ต่ำกว่า ๑ ล้านล้านบาท

ประกาศของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เมื่อ ๑๖ มิถุนายน ศกนี้ ที่ว่าเป็น “คำชี้แจง การเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

มีนัยยะประทับลงอย่างมั่นคงว่าพระเจ้าอยู่หัววชิราลงกรณ์ฯ “จะทรงจัดการทรัพย์สินนั้นตามพระราชอัธยาศัย” และ “ให้มีการเสียภาษีอากรทุกประเภทเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป” ด้วย ดังคำชี้แจงข้อ ๒ ที่ว่า

จึงต้องเปลี่ยนชื่อความเป็นเจ้าของทรัพย์สินจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ทรัพย์สินนั้นอยู่ในบังคับของกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาษีอากร”

นสพ.เจแปนไทมส์ อ้างอิงสำนักข่าวเอเอฟพีและจิจิ ระบุว่า “นักวิเคราะห์หลักทรัพย์บอกว่าจักรีเป็นราชวงศ์หนึ่งที่ร่ำรวยที่สุดของโลก ด้วยมูลค่าประเมินระหว่าง ๓๐,๐๐๐ ถึง ๖๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ ทั้งที่สถาบันกษัตริย์ไทยไม่ต้องแจ้งทรัพย์สินต่อสาธารณะ และปกป้องจากการวิพากษ์วิจารณ์โดยกฎหมายเหี้ยมเกรียม เลส มาเจสตี้”

ทางด้านบีบีซีเน้นตอนหนึ่งถึง คำชี้แจงจากสำนักงานทรัพย์สินฯ ปาวารณาว่าจะมีการบริหารทรัพย์สินนั้นอย่างโปร่งใส และเปิดให้มีการตำหนิติชมได้” (อยู่ในข้อ ๔ ตอนท้ายของคำชี้แจง)

อย่างไรก็ดีบีบีซียอมรับว่าปริมาณทรัพย์สินทั้งสิ้นเป็นจำนวนเท่าไรไม่แน่ แต่อ้างอิงรายงานของนิตยสารฟอร์บเมื่อปี ๒๕๕๕ ว่ามูลค่าประเมินทั้งอสังหาริมทรัพย์และการลงทุน เกินกว่า ๓ หมื่นล้านดอลลาร์

อีกทั้ง “ข้อมูลตลาดหุ้นเมื่อเดือนมีนาคมแสดงว่า พระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเข้าครอบครองหลักทรัพย์ของบริษัทสยามซีเม็นต์ เป็นมูลค่า ๑๕๐ ล้านดอลลาร์” (ราว ๔,๘๐๐ ล้านบาท) กับทรงรับโอนหุ้นส่วนธนาคารไทยพาณิชย์กว่า ๕๐๐ ล้านดอลลาร์ (ประมาณ ๑๖,๐๐๐ ล้านบาท) มาเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์”


ทั้งนี้ใน คำชี้แจงฯ แจ้งไว้ชัดแจ้งถึง “พระราชปณิธานที่จะสืบสานพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช” ในฐานที่รัชกาลที่ ๕ ทรงก่อตั้งแบ๊งค์ สยามกัมมาจล (ที่กลายมาเป็นธนาคารไทยพาณิชย์) และ ร.๖ ทรงให้กำเนิดบริษัทปูนซีเมนต์ไทย
 
ดังนั้นพระเจ้าอยู่หัวฯ ร.๑๐ จึง “ทรงรับเป็นพระราชภาระในการดูแลกิจการเหล่านั้นด้วยพระองค์เอง” ทั้งสิ้น โดยที่ปัจจุบันสำนักงานทรัพย์สินฯ ถือหุ้นในไทยพาณิชย์ ๑๘.๑๔% เมื่อรวมกับหุ้นที่เพิ่งโอน ทำให้ในหลวงฯ วชิราลงกรณ์ทรงเป็นเจ้าของแบ๊งค์เอสซีบี ๒๑.๔๘% ทำนองเดียวกับทรงเป็นเจ้าของหุ้นปูนซีเมนต์ ๓๐.๗๖% เนื่องจากสำนักงานทรัพย์สินฯ เป็นผู้ถือหุ้นปูนซีเมนต์อยู่แล้ว ๓๐%

ทั้งหมดนี้เป็นผลจากรัฐบาล คสช.ได้ทำการเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินสถาบันกษัตริย์เสียใหม่ จากฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๙ มาเป็นฉบับ พ.ศ. ๒๕๖๐ “โดยรวมทรัพย์สินส่วนพระองค์และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้าด้วยกัน เป็นทรัพย์สิน ฝ่ายพระมหากษัตริย์”

อันเป็นผลให้ทรัพย์สินหลายอย่างที่เคยอยู่ในสังกัดทรัพย์สิน ส่วน พระมหากษัตริย์ บัดนี้เปลี่ยนมาเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ทั้งหมดในชื่อ ฝ่ายพระมหากษัตริย์ รวมทั้ง ทรัพย์สินส่วนสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ที่กฎหมายใหม่ได้เลิกประเภทนี้ไปรวมอยู่ในทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แล้ว

อันแสดงจุดมุ่งหมายหลักสำคัญอยู่ที่ “การจัดการ การดูแลรักษา การจัดหาผลประโยชน์ และการดำเนินการอื่นใดอันเกี่ยวกับทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์...ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย” ในหลวงฯ ร.๑๐ ซึ่งจะทรงมอบหมายให้ใครเป็นผู้ดำเนินการก็ได้

ความแตกต่างจากสมัย ร.๙ อยู่ที่ “ในหลวงภูมิพลไม่เคยมีพระนามเป็นผู้ถือหุ้นในสองบริษัทยักษ์ดังกล่าว”

ต่อการนี้ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักประวัติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทย ตั้งข้อสังเกตุว่า ทรัพย์สินที่เคยอยู่ในสังกัดทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น มีบางส่วนที่ไม่ใช่ของตระกูลมหิดลเป็นส่วนตัวมาก่อน (ก็มี)

ตัวอย่างสำคัญคือที่ดิน วังเพ็ชรบูรณ์ (ที่ตั้งเซ็นทรัลเวิร์ลปัจจุบัน คงพอนึกออกว่ามูลค่าขนาดไหน) เคยเป็นของตระกูลวรานนท์ธวัช ที่ไม่กี่ปีนี้ก่อนนี้เอง คุณจิรายุเคยให้สัมภาษณ์นักวิชาการฝรั่งคนหนึ่งว่าไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันกับมหิดล [not really the same family]

ข้อสังเกตุเดียวกันของ สศจ. ในเรื่อง ที่ทรัพย์สินฯคือ “ที่ดินสำคัญๆในกรุงเทพ (เช่น ประตูน้ำ, ราชเทวี, สีลม, วิทยุ ฯลฯ ฯลฯ) ซึ่งเป็นทั้งที่ตั้งศูนย์การค้าและชุมชนสำคัญๆ ที่เคยมีเจ้าของที่ดินในนาม สำนักงานทรัพย์สินฯ ต่อไปก็จะมีเจ้าของที่ดินในนาม วชิราลงกรณ์ โดยตรง”